ขณะที่บ้านเรายังรอโฉมหน้ารัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งมาราธอนแม้จะผ่านไปกว่า 3 เดือนแล้ว แต่ยังไม่สามารถฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลได้ ด้วยพรรคการเมืองที่ปาดหน้าเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่สามารถ “ผ่าทางตัน” ปัญหาภายในและภายนอกพรรคเพื่อจัดโผ ครม. ให้ลงตัวได้เสียที แถมผลจัดสรร จัดโผยังทำเอาพรรค “ปริแตกดังโพละ” จ่อจะอัปปางตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกเรือ
ขณะที่ต่างประเทศนั้น วันนี้ต่างกำลังให้ความสนใจกับการทำสมาธิ ทั้งในโรงเรียน สถานศึกษา หรือแม้กระทั่งหน่วยงานราชการบางแห่ง อย่างที่สหรัฐฯ หรือแคนาดานั้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกตรวจหรือปฏิบัติหน้าที่กันนั้นจะให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้นั่งสมาธิก่อนการทำงานกัน
ในโรงเรียน เขาก็นิยมให้นักเรียนได้นั่งสมาธิก่อนการเรียน หรือหลังเลิกเรียน เพราะต่างเล็งเห็นคุณประโยชน์ของการทำสมาธิ ล่าสุดถึงขนาดมีธุรกิจรถบัสสอน/ฝึกสมาธิเคลื่อนที่ขึ้นมาเป็นกิจจะลักษณะในมหานครนิวยอร์ก ฝรั่งมังค่าที่เข้ามาร่ำเรียนนั้นต้องจ่ายเงินจำนวนมากพอสมควร แต่คนเหล่านั้นก็พร้อมจ่าย เพราะเล็งเห็นความสำคัญ เล็งเห็นคุณประโยชน์ที่ได้
ล่าสุด พระชาตรี เจ้าอาวาสวัดไทยในรัสเซียได้โพสต์ FB ที่ชื่อ Chatree Hemapandha เผยแพร่คลิปให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้ชาวรัสเซียที่มีฐานะเริ่มหันมานับถือศาสนาพุทธ สวดมนต์ภาวนา และสวดสัพพมงคลคาถากันมากขึ้น ถึงขั้นที่เรียกว่าศาสนาพุทธกำลังเบ่งบานในรัสเซียเลยก็ว่าได้ ทำให้วัดไทยในรัสเซีย New Russian Generation and Meditation กลายเป็นสถานที่ที่ทั้งคนไทยและชาวรัสเซียให้ความสนใจเข้ามาศึกษาเข้ามาเรียนรู้กันไม่ขาดสาย
แต่ประเทศไทยเราที่มีความพร้อมในเรื่องของสถานที่ปฏิบัติธรรม มีวัดวาอารามกว่า 41,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ แทบจะทุกหมู่บ้านทุกอำเภอ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงเอาตัวกับใจเข้าไปร่ำเรียน เป็นที่น่าเสียดายคนไทยปล่อยโอกาสเหล่านี้ให้หลุดลอยไป
เราพยายามขวนขวายหรือแสวงหาความสงบสุขจากสิ่งที่เป็นนามธรรมอะไรก็ไม่รู้ แห่กันไปเดินห้าง ร้านอาหาร “สุดชิค” ทั้งหลาย ทั้งที่หนทางที่จะทำให้เราสงบสุข มีสติปลดเปลื้องความทุกข์ทั้งมวลนั้น ก็อยู่ที่การทำสมาธินั่นแหละ
พูดถึงสำนักสงฆ์ สำนักวิปัสสนากรรมฐานที่ผุดขึ้นมากันเป็นดอกเห็ดนับพันแห่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกสำนักสงฆ์ ในบ้านเราล้วนแต่มุ่งสอนการทำวิปัสสนากรรมฐาน แทบไม่มีสำนักใดเลยที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสอนสมาธิ ทั้งที่สมาธิเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำวิปัสสนา หากขาดซึ่งการทำสมาธิขาดซึ่งสมถะแล้ว ไม่มีทางไปถึงวิปัสสนาได้
พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ได้กล่าวถึง “วิปัสสนา” นี้ว่า เปรียบเหมือนทรัพย์สมบัติที่มีค่าสูงยิ่งดุจดั่งเพชรหรือทองคำเลยก็ว่าได้ ซึ่งความที่มีค่าสูงยิ่งดังกล่าวจึงมีทั้งคุณและโทษ จะเอามาถือเล่น ใส่เล่น อวดเล่นก็อาจนำภัยมาสู่ตัว มันจึงเป็นสิ่งที่คู่ควรกับ “บุคคลบางคน” ที่มีกำลังซื้อจึงจะเป็นเจ้าของได้ ถ้ายังไม่มีกำลังซื้อเพียงพอก็หมดสิทธิ์
“วิปัสสนาก็เช่นกัน ผู้ที่จะทำได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มี “ชวนจิตสูง” ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ วิปัสสนานั้น ถือเป็นหัวข้อสำคัญที่พระอาจารย์ได้เสนอเอาไว้ในหัวข้อสุดท้ายของหลักสูตรครูสมาธิ “โลกกับวิปัสสนา” เพื่อแสดงให้เห็นว่าสังคมโลกในเวลานี้ หันมาให้ความสนใจให้ความสำคัญกับการทำสมาธิกันมากแค่ไหน
หากจะถามว่าเหตุใดสังคมโลกจึงหันมาให้ความสนใจเรื่องของสมาธิ ก็เพราะสมาธินั้นช่วยหยุดจิตใจ หยุดความฟุ้งซ่าน แก้ไขความว้าวุ่น ให้ผู้คนคิดไปในทางที่ดี ทำให้มีสติ “ที่สำคัญการทำสมาธิคือการสะสมพลังจิต เมื่อมีพลังจิตแล้วจะสามารถควบคุมจิตใจให้หยุดคิด เข้าใจ หากผู้คนสามารถรวมตัวกันฝึกฝนทำสมาธิกันจำนวนมากจะมีกำลังหยุดยั้งความเสื่อม ความวุ่นวาย ถึงขั้นหยุดยั้งสงครามได้เลย”
ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์จึงจัดตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพขึ้นเพื่อเผยแพร่หลักการทำสมาธิเพื่อสะสมพลังจิต สอนผู้คนให้รู้จักการ “สร้างสมาธิ” ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงเพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้แก่สังคมโลก เป็นแนวทางที่มีจะทำให้เกิดสันติภาพแก่โลกขึ้นอย่างแท้จริง
หลักสูตรที่สร้างขึ้นมา และมีการขยายสาขาของสถาบันออกไปในเวลานี้กว่า 267 สาขาทั้งในและต่างประเทศ (น่าจะเหมาะกับยุค 5 จี) เพราะกว่าที่พระอาจารย์จะกลั่นวิชาสมาธิออกมาให้ประชาชนทั่วไปได้ศึกษาร่ำเรียนกันแบบมีหลักการ มีขั้นมีตอน พระอาจารย์ต้องใช้เวลาศึกษาอยู่กับพระอาจารย์หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ถึง 8 ปี และ พระปรมาอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อีก 4 ปี รวม 12 ปี และได้ย่นย่อหลักการทำสมาธิ วิธีการและขั้นตอนการทำสมาธิเหล่านี้ให้เหลืออยู่เพียง 6 เดือนเท่านั้น จึงเรียกว่าวิชา “สมาธิไฮเทค”
“ส่วนเรื่องของวิปัสสนานั้นเป็นการบำเพ็ญจิตอีกขั้นหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าผู้ทำสมาธิมีความก้าวหน้า อยากจะเข้าใจเข้าถึงมนุษย์ ดำเนินวิปัสสนาในระดับที่เหนือกว่าสมาธิทั่วไป เปรียบเสมือนการค้นหาเพชรก้อนใหญ่นั้น ผู้ที่มีความสามารถเท่านั้นจึงจะได้ไปครอง”
แต่การจะไปถึงขั้น “วิปัสสนา” โดยไม่ผ่านการทำสมาธิหรือสมถะนั้น พระอาจารย์ยืนยันว่าถือเป็นอันตราย อาจกลายเป็น “วิปัสสนาตกน้ำ” เพราะกระแสจิตยังไม่เพียงพอ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ดังนั้นผู้ที่จะดำเนินวิปัสสนาจึงต้องเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นเสียสละอย่างแท้จริง!
