หากเปรียบวัฒนธรรม “การกิน” เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของมวลมนุษยชาติ “ไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining)” ก็คงไม่ต่างจากงานสร้างสรรค์ศิลปะชั้นเลิศที่เราสามารถดื่มด่ำไปกับอรรถรสอันหลากหลายของมื้ออาหารสุดพิเศษได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งประสบการณ์การรับประทานอาหารที่คุ้มค่าและน่าจดจำอย่างที่สุด
Cadence Restaurant by Dan Bark คือชื่อของร้านอาหารสุดหรูแบบไฟน์ไดนิ่งแห่งใหม่ที่เปิดตัวขึ้นใจกลางกรุง โดยสองผู้ก่อตั้งอย่าง เชฟแดน บาร์ค (Chef Dan Bark) และ คุณเฟย์-ธัญจิรา ตระกูลวงษ์ ผู้เป็นทั้งหุ้นส่วนธุรกิจและหุ้นส่วนในชีวิตจริงของเชฟแดน ซึ่งทั้งคู่มีความคิดตรงกันที่อยากจะสร้างร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่ตอบโจทย์ทั้ง “อาหารอร่อย มีคุณภาพ และมาพร้อมงานบริการด้วยใจ” ให้กับลูกค้า ไม่ใช่แค่การตกแต่งสถานที่อย่างหรูหราหรือการตั้งราคาแพงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เชฟแดน บาร์ค ผู้ก่อตั้งร้าน Cadence Restaurant by Dan Bark
เอกลักษณ์แห่งการผสมผสานความแตกต่างของวัฒนธรรมอันหลากหลายอย่างน่าทึ่ง
สำหรับคนที่คุ้นเคยอยู่ในแวดวงร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งมาก่อนอาจคุ้นหูกับชื่อของ “เชฟแดน” กันมาบ้าง เพราะเชฟหนุ่มคนนี้คือเจ้าของร้านอาหาร Upstairs at Mikkeller ที่โด่งดังเมื่อปีที่ผ่านมา ในฐานะของร้านที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวเป็นเครื่องการันตีความยอดเยี่ยม ก่อนที่เชฟแดนและคุณเฟย์จะตัดสินใจ Rebranding ร้านขึ้นใหม่บนทำเลใหม่ในชื่อ Cadence Restaurant by Dan Bark
ด้วยความที่เชฟแดนเป็นชาวเกาหลีที่เติบโตในเมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา นั่นจึงทำให้เขาซึมซับวัฒนธรรมและเทคนิคการสร้างสรรค์อาหารทั้งจากซีกโลกตะวันออกและโลกตะวันตกไว้อย่างครบถ้วน ที่สำคัญ เชฟแดนยังมีประสบการณ์การทำงานด้านเชฟในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ที่ชิคาโกอีกด้วย
Cadence Restaurant by Dan Bark ไฟน์ไดนิ่งสุดหรูที่ผสานกลิ่นอายความโมเดิร์น
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบในซอยปรีดีพนมยงค์ 25 บนถนนสุขุมวิท 71 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน Cadence Restaurant by Dan Bark ตัวอาคารทรงกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าดีไซน์เรียบเก๋สไตล์มินิมอล แม้จะมองดูกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รายรอบ แต่เบื้องหลังบานประตูกระจกใสก็ดูคล้ายจะมีเสียงเชื้อเชิญและชวนให้เราก้าวเข้าสู่ภายในอย่างง่ายดาย
สิ่งแรกที่เจอ..เมื่อเข้าสู่ตัวร้านก็คือบริเวณต้อนรับด้านหน้า ซึ่งเป็นเสมือนจุดกึ่งกลางที่แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายคือพื้นที่ของบาร์ที่มีชื่อว่า Caper by Dan Bark (มีกำหนดจะเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้) ส่วนฝั่งขวาคือพื้นที่ของร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง Cadence Restaurant by Dan Bark ที่เราจะพามาสำรวจกันในครั้งนี้
ทันทีที่ก้าวพ้นผ่านม่านกำมะหยี่สีสวย ความประทับใจแรกที่เกิดขึ้นก็คือความพิถีพิถันในการตกแต่งร้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหรูหรา ผสมผสานกับรายละเอียดที่ดูทันสมัยและให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุไม้และทองเหลืองในงานตกแต่ง หรือจะเป็นการเลือกใช้โทนสีเรียบหรูและคลาสสิกอย่างสีเบจ สีขาว และสีฟ้าน้ำทะเล
ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินไปกับรายละเอียดต่างๆ ของงานอินทีเรียดีไซน์ภายในร้าน อีกด้านหนึ่งของครัวเปิดที่อยู่ใกล้กับโต๊ะอาหาร เชฟแดนและทีมงานก็กำลังตระเตรียมเมนูอาหารกันอย่างขะมักเขม้น โดยเมนูอาหารของที่นี่จะเสิร์ฟในแบบ Course Menu ซึ่งแต่ละเมนูจะเน้นรสชาติและความต่อเนื่องตั้งแต่จานแรกจนถึงจานสุดท้าย ภายใต้เอกลักษณ์ของอาหารสไตล์ Progressive American ที่มีความทันสมัยและเต็มไปด้วยไอเดียที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะการผสมผสานอาหารจากหลากหลายวัฒนธรรมในอเมริกาและสอดแทรกความเป็นเอเชียไว้อย่างกลมกลืน รวมถึงการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับแต่ละเมนูด้วยรสชาติที่เชฟแดนต้องการนำเสนอ ซึ่งก็คือการสื่อถึงประสบการณ์การทำอาหารและการเดินทางของตัวเชฟแดนนั่นเอง
ทุกเมนูที่เชฟแดนครีเอตขึ้นมาจึงเปรียบเสมือนการได้นั่งชมภาพยนตร์ชั้นเยี่ยม หรือการออกท่องเที่ยวไปในทริปสุดพิเศษที่จะมอบความอิ่มเอมในทุกสัมผัส ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบพรีเมียมที่สดใหม่ ผสมผสานการปรุงอย่างพิถีพิถันแบบจานต่อจานอย่างใกล้ชิด และเน้นความสมดุลของเมนูอาหารโดยคำนึงถึงรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบและสร้างสรรค์ให้เกิด “รสชาติ” และ “รสสัมผัส” ที่มีมิติแปลกใหม่อย่างล้ำลึก
Ocean
ยกตัวอย่างเมนูจานแรก “Ocean” ซึ่งเชฟแดนได้ไอเดียมาจากแสงสีเขียวในทะเลจากเรือตกหมึกในยามค่ำคืน ตัวเมนูครีเอตเป็น 3 คำที่ให้รสสัมผัสแตกต่าง แต่กลับเป็นความกลมกลืนที่เข้ากันกลมกล่อมอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นหอยนางรมไอริชสดๆ กับแตงกวาที่มีรสเปรี้ยวของฟิงเกอร์ไลม์ที่ปลูกในเมืองไทย คำต่อมาแซลมอนกับสมุนไพรที่เชฟแดนปลูกเองในทาร์ตกรอบ และไวท์ช็อกโกแลตสอดไส้น้ำพีนาโคลาดาและพิวเรมะพร้าว
Red Shrimp
“Red Shrimp” กุ้งแดงอาร์เจนติน่าสดๆ ที่ให้รสหวานตามธรรมชาติกับแนสเทอเทียม (Nasturtium) ที่เชฟแดนบอกว่าให้รสฉุนคล้ายวาซาบิ ทำออกมาเป็นพิวเร และยังมีแตงโมคอมเพลสบัลซามิกเพิร์ล ว่านหางจระเข้ และข้าวพอง ซึ่งเชฟแดนบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากซูชิที่มีข้าวและวาซาบิ
Mushroom
“Mushroom” คอร์สซุปซึ่งเชฟแดนทำซุปดาชิเห็ดมาเข้มข้นแล้วในครัว แต่ก็ยังอยากเพิ่มกลิ่นและรสให้กับซุปมากยิ่งขึ้น จึงใช้ไซฟอนมาเพิ่มกลิ่นรสของสมุนไพรต่อหน้าลูกค้า ราดลงบนข้าวรีซอตโตที่ทำจากข้าวบาร์เลย์ เห็ดย่าง เรดไวน์เจล พิวเรต้นกระเทียม ต้นกระเทียมดอง และเซเลอรี
Pea
“Pea” เมนูที่เชฟแดนได้ไอเดียมาจากทริปท่องเที่ยวที่นาปาวัลเล่ย์ในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ซึ่งสองข้างทางบนถนนไฮเวย์จากชิคาโกสู่นาปาวัลเล่ย์ เต็มไปด้วยสีสันของดอกเฟนเนลและทุ่งลาเวนเดอร์ในไวน์เนอรีที่เชฟแดนแวะไป ดาวเด่นของเมนูนี้คือโพร์ชูโตกับแคนตาลูปคอมเพลส, เฟนเนล แรดิช, ถั่วพี, ลาเวนเดอร์ และเส้นข้าวกรอบ ราดด้วยซอสถั่วพี
Dark Chocolate
และที่เราหลงรักหมดใจก็เห็นจะเป็นเมนูขนมหวานปิดท้ายอย่าง “Dark Chocolate” ที่หอมหวานเย้ายวนใจด้วยช็อกโกแลตเข้มข้น 70% จากกาน่า, เอกวาดอร์ และมาดากัสการ์ กับฝักวานิลลามาดากัสการ์ บีทรูทดอง อัลมอนด์มิลค์ ทรัฟเฟิลวินิแกรต และซัมเมอร์ทรัฟเฟิลจากสเปน
ความพิเศษของ Course Menu ที่นี่ยังอยู่ที่การจับคู่อาหารกับเมนูค็อกเทลและม็อกเทล รวมถึงไวน์ชั้นดีหลากชนิดที่มีให้เลือกทั้งไวน์แบบ New World และ Old World จากทั่วโลก อาทิ ไวน์จากฝรั่งเศส ออสเตรีย และอเมริกา โดยมี “ซอมเมอลิเยร์ (Sommelier)” หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องไวน์อย่างลึกซึ้งที่มากด้วยประสบการณ์ ซึ่งจะคอยคัดสรรและแนะนำไวน์เพื่อจับคู่กับแต่ละเมนูอาหารได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว
สำหรับใครที่อยากให้รางวัลกับตัวเองหรือสร้างโมเมนต์ประทับใจให้กับคนที่คุณรัก มื้ออาหารสุดพิเศษแบบไฟน์ไดนิ่งคืออีกหนึ่งสิ่งที่เราอยากให้คุณลอง และถ้าจะให้ดียิ่งกว่าก็ต้องเป็นร้าน Cadence Restaurant by Dan Bark ที่เรามั่นใจเลยว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
Cadence Restaurant by Dan Bark เลขที่ 225 ซอยปรีดีพนมยงค์ 25 (เอกมัยซอย 10 แยก 6) ถนนสุขุมวิท 71 สำรองที่นั่งได้ที่ reservation@cadence-danbark.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 091-713-9034