กว่าสองทศวรรษแล้วที่ชื่อของ ‘เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร’ ในนาม Greasy Cafe เป็นที่รับรู้กันดีจากฐานะคนทำเพลงที่โดดเด่นด้วยภาษาอันบาดลึกในอารมณ์ กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเขาได้ส่งซิงเกิลใหม่ ‘วันทรงจำ’ ออกมานำร่องงานเพลงชุดที่ 5 ไม่เพียงเท่านั้นปลายเดือนมีนาคมต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ เขาจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต เป็นการแสดงภาพและเสียงจากการเดินทางท่องไปในสามดินแดน จนพาให้ตัวเขาขบคิดถึงคำว่า “พรมแดน”
วันทรงจำ เพลงใหม่ของ Greasy Cafe ได้ไอเดียมาอย่างไร
ไอเดียของวันทรงจำ มาจากคนอินบอกซ์มาพูดคุยสารทุกข์สุขดิบ แล้วหลังๆ มีหลายคนมาก ถามคำถามเดียวกันเลย เลิกกับแฟนนานมากแล้ว แต่ยังลืมเขาไม่ได้ จนรู้สึกว่ามันเป็นประเด็นสำหรับเราแล้ว ซึ่งเราก็เคยรู้สึกแบบนี้ แต่รอดมาได้แล้ว เลยลองย้อนกลับไปถึงความรู้สึกตรงนั้นว่าเป็นอย่างไร เป็นที่มาของประโยคหนึ่งประโยคเพื่อสร้างเพลงนี้คือ ทำไมคนเราใช้เวลาลืมใครคนหนึ่ง นานกว่าช่วงเวลาที่เคยมีกัน นั่นเป็นหัวใจสำคัญ คิดว่าหลายๆ คนอาจจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน คบกับแฟนปีนึง 5 ปี 7 ปี แต่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อพยายามลืมคนคนนี้ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับแค่ความสัมพันธ์ระหว่างแฟนเท่านั้น แต่อาจจะกินใจความไปถึงคนบางคนมีช่วงชีวิตวัยเด็กกับคุณปู่คุญย่าที่มีความสุขมากๆ แล้วพอคุณปู่คุณย่าเหล่านั้นเสียไป ความทรงจำนั้นมันอยู่มาจนเขาแก่ก็เป็นไปได้ ก็เริ่มเขียนเพลงนี้ขึ้นมา เปิดหัวเป็นคำถามก่อนเลยว่า ทำไมในการลืมใครซักคน มันกลับยาวนานเกินกาลเวลาที่เคยมีกัน…
แต่จุดมุ่งหมายของเราไม่ได้ต้องการให้ใครมาอยู่ในความทรงจำกันเถอะ เปล่าครับ ถ้าดูกันดีๆ สองประโยคสุดท้าย เราอยากจะให้คน Move on นะ เราบอกว่า ในความทรงจำที่ฉันนั้นควรจะลืม ในวันและคืนที่ฉันนั้นควรจะลืม ตลอดไป เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาก่อนที่จะมาถึงสองบรรทัดนี้ ต้องพูดถึงความรู้สึกที่ทรมาน ไม่อย่างนั้นมันจะมาจบที่สองประโยคสุดท้ายไม่ได้ เพื่อที่จะมาบอกว่า แล้วทำไมจะต้องไป
คุณมีวิธีการใดบ้างในการ Move on
เราไม่ได้พยายามเขียนเพลงเพื่อสอนใครนะ ไม่เคยคิดเลย เป็นแค่ความรู้สึกของเราว่า ถ้าเรื่องที่มันไม่ดี จะไปพยายามคิดถึงทำไม หรืออยู่ดีๆ มันมากระโดดเกาะหลังอยู่ ก็พยายามสลัดมันออกไป แล้ววิธีคืออะไร มันแล้วแต่คน ไม่สามารถบอกได้จริงๆ ว่าต้องทำ หนึ่ง สอง สาม แล้วจะลืมได้
เวลาที่เราตัดสินใจรักใครคนหนึ่ง ก็ต้องโถมความรักทั้งหมดให้เขา ถูกไหม มันไม่ใช่การที่จะมาบอกว่าไม่ได้เว้ย วันหนึ่งเลิกกันเราจะแย่นะ ไม่ได้ วันที่รักกันคุณก็ต้องโคตรรักเขาเลย แต่เวลาที่เลิกกันไปแล้ว มันคือการพูดคุยกับตัวเองแล้วว่า ทำความเข้าใจนะ ว่าเราไม่มีคนคนนั้นแล้ว มันเสียใจแหละ ทรมานมากๆ แต่หัวใจของเราเชื่อว่ามันจะค่อยๆ เข้าใจไปเอง วิธี Move on มันแล้วแต่คน อย่างเราก็ Move on ยาก เวลาที่เจอเรื่องอะไรแบบนี้ เราใช้เวลาเยอะมากกว่าที่จะก้าวข้ามมันได้ แต่เราพยายามมองในแง่ดีว่าจมนานก็ดี จะได้เห็นดีเทลว่าจมไปอย่างไร ก่อนที่จะจมมันเป็นอย่างไร
ในพาร์ทดนตรีของเพลงนี้ มีการตีคอร์ดกีต้าร์โปร่งซึ่งสะท้อนถึงภาวะความเหนื่อยล้าในใจ เล่นเปียโนด้วยโน้ตซ้ำๆ ให้เหมือนความรู้สึกที่หลุดออกไปไม่ได้สักที ตอนทำดนตรีนึกถึงอะไรอยู่ถึงรังสรรค์ออกมาได้ขนาดนี้
รู้สึกแบบนั้นจริงๆ มันล้าจริงๆ เลยสะท้อนกลับมาที่วิธีเล่นด้วย อยากจะ Arrange ให้เรียบง่ายที่สุด คือที่บอกว่าไม่รอเนื้อแล้ว เราก็จะฮัมเมโลดี้มั่วๆ ไป ซึ่งมันจะมีหลายเพลงมาก วันทรงจำก็อยู่หนึ่งในนั้น โดยเฉพาะท่อนฮุก เราก็ร้องขึ้นมาเลยว่า อยู่ตรงนี้ตลอดมา อยู่ตรงนี้ทุกเวลา พอกลับไปจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในว่าต้องใช้คำเหล่านี้ มันมีหลายเพลงมากที่เกิดขึ้นแบบนี้
การมีซิงเกิลใหม่ออกมาหวังได้ว่าจะได้ฟังอัลบั้มเต็มชุดที่ 5 ใช่ไหม
ใช่ ตอนนี้กำลังดูอยู่
ในแต่ละอัลบั้มก็จะมีแกนไอเดียอยู่ อย่าง Technicolor อัลบั้มที่ผ่านมาก็หยิบไอเดียช่วงเปลี่ยนผ่านภาพยนตร์ขาวดำมาเป็นสี มาสื่อสารดนตรีของ Greasy Cafe จากกีตาร์โปร่งก็มีซินธ์ประกอบ แล้วงานเพลงชุดที่ 5 นี้จะได้เห็นอะไร
อัลบั้มที่ 4 เป็นอัลบั้มหมั่นเขี้ยว เราอยากลองมากเลย เอาเป็นว่าเครื่องซินธ์เราไม่รู้จักกับมันเลย แล้วก็แค่อยากรู้ว่าทำได้มั้ย ซึ่งก็เป็นอัลบั้มทดลอง เราก็เกือบล้มไปเหมือนกัน หมายความว่าเกือบจะต้องจ้างโปรดิวเซอร์ แต่ก็คิดว่ายังลองไม่ถึงที่สุด ก็เลยได้ทำอะไรสนุกสนาน แต่ละอัลบั้มเราก็ได้ลองนั่นลองนี่แหละ แต่อัลบั้มที่ 4 มันจะชัดเจนที่สุด พอมาถึงอัลบั้มที่ 5 เราไม่วางอะไรไว้เลย รู้สึกอย่างไรทำแบบนั้น
ก็เหมือนจะย้อนกลับไปในช่วงอัลบั้มแรก
เนี่ยคนบอกอย่างนั้น ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ว่าทำไปทำมา ที่ทัวร์ตามที่ต่างๆ ก็เล่นเพลงอัลบั้ม 1 หลายเพลงอยู่เหมือนกัน นั่นแสดงว่าคนก็ชอบอัลบั้ม 1 แต่เราไม่ได้คิดว่ากลับไปทำแบบนั้น ก็แค่รู้สึกอย่างไรก็ทำไป อยากทำอะไรให้เรียบง่ายลง ลดเสียงต่างๆ ลง เป็นการสื่อสารที่ไม่ต้องมีอะไรมาปรุงมาก
วันที่เริ่มต้นทำอัลบั้มใหม่ชุดที่ 5 ไอเดียพุ่งเข้ามาอย่างไร
สิ่งหนึ่งที่คล้ายกับอัลบั้ม 4 นิดนึงคือ เนื้อยังไม่มา ไม่รอ ขึ้นดนตรีเลย แต่ว่าจุดเริ่มต้นน่าจะมาจากการคุยกับตัวเองว่า ควรทำได้แล้วหรือเปล่า มันนานไปแล้วไหม หลังจากออกอัลบั้ม 4 มันก็มีเมโลดี้ในหัวบ้าง ก็เริ่มขึ้นเพลงบ้าง แต่ว่าไม่จริงจัง ซึ่งในวันที่ต้องเริ่มทำ ก็ขังตัวเองแล้วลุยเลย
แล้วตอนที่เขียนเนื้อร้องเพลง แต่งทำนองเพลง มีท่าทางแบบไหน อย่างขลุกตัวเองกับเปียโนในบ้าน ห้ามใครมายุ่งแบบนั้นไหม
ช่วงหลังไม่ดีเลย เราจะเผลอไปหยิบมือถือมาดูเรื่องกล้อง เรื่องอะไรบ่อยมาก ซึ่งก็พยายามที่จะเอามือถือไว้นอกห้อง แล้วก็ทำงาน บางวันมาดูเวลาอีกทีก็ค่ำแล้ว หิวข้าวโดยไม่รู้ตัวเลย แล้วก็ไม่ได้แตะมือถือเลย เราอยากให้มันเป็นอย่างนั้นเวลาที่ทำงาน ทำงานก็คือทำงาน เล่นก็คือเล่น ก่อนหน้านี้มันมีจังหวะที่แบบระหว่างที่ทำเสร็จแล้ว กดเอ็นเตอร์ลองฟัง มือถือมาแล้ว ซึ่งมันไม่ควร เราจะพยายามเลี่ยง ถามว่าเวลาทำทำอย่างไร ก็ขลุกตัวอยู่ในห้องทำงาน
แสดงว่ากลายเป็นคนติดมือถือ ติดโซเชียล
อาจจะไม่ได้ติดมือถือ แค่ดูเพจร้านกล้อง แต่ก็พยายามลดลงแล้ว
บริหารเวลาการทำงานเพลงอย่างไร เพราะก็เป็นศิลปินที่มีทัวร์คอนเสิร์ตแน่นอยู่ทุกเดือน อัลบั้มใหม่ก็เว้นจากอัลบั้มที่ 4 อยู่ถึง 2 ปี
ถ้าวันไหนมีทัวร์จะไม่ทำเพลง นอกจากมันเป็นลูกติดพันจริงๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว แยกกันไปเลย วันหยุดก็ทำเพลง แต่วันที่มีคอนเสิร์ตก็พักผ่อน นอนให้เยอะ แล้วออกไปลุย
ทำในแกร็บช่องว่างระหว่างทัวร์ ไม่ได้มีช่วงนั่งทำต่อเนื่อง แบบวางไว้เดือนนึงพักทำเพลงชุดใหม่
เพราะว่ายังสนุกกับการทัวร์อยู่ ยิ่งเดือนใหม่เหมือนงานจะเบาลงหน่อย ด้วยอะไรต่างๆ ก็เลยดีใจ ได้ลุยทำงานแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็ได้ Concentrate ทำ Exhibition ปลายเดือนนี้
เพราะอะไรเพลงของ Greasy Cafe ถึงเล่าเรื่องความเศร้าเยอะเลย คือมีศิลปินหลายคนบอกว่าเขียนเพลงเศร้าแล้วถนัดมากกว่า คุณเป็นแบบนั้นไหม
เราอาจจะไม่ถนัดเขียนอะไรที่มูฟเร็วๆ คือมันสะท้อนมาถึงเพลง ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงช้า ตั้งแต่อัลบั้มแรก ตอนที่เริ่มเขียนเพลงแค่รู้สึกว่าอยากเอาข้างในนี้มันออกมาแค่นั้น เราไม่ได้คิดว่าจะตั้งตัวเป็นคนเขียนเพลงเศร้า คนที่ชอบเล่าเรื่องเศร้าหรืออะไรก็ตาม แค่เรามีเรื่องแบบนี้ในใจเยอะ ซึ่งถามว่าชีวิตที่ผ่านมีความสุขบ้างไหม เพราะบางคนอาจจะรู้สึกว่าผมเศร้าจนไม่มีความสุขเลยหรือเปล่า ทุกวันนี้เราแฮปปี้ แต่ว่าช่วงที่แย่มันเยอะมาก อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่าเวลาที่จม มันจมนาน แล้วเราเห็นดีเทลเยอะ เลยรู้สึกว่าเราอาจจะมีเรื่องแบบนี้ในใจเยอะมากกว่าอีกหลายๆ อย่างหรือเปล่า เลยเอาเรื่องพวกนี้ออกมาเขียน แต่ไม่ได้ตั้งตัวว่า Greasy Cafe ต้องเป็นเพลงเศร้าอย่างเดียว เปล่า ความบังเอิญก็มี
คงมีที่รอฟังเพลงอย่างความบังเอิญกันหลายคน
ความบังเอิญมันความบังเอิญจริงๆ ทำไม่ได้อีกแล้ว ได้แค่ครั้งเดียว เพราะก็เคยลองนะ แต่มันก็ไม่ค่อยดี
เอาเข้าจริงเป็นคนถนัดเล่นเพลงเร็วหรือช้า
ช้า จังหวะมีเดียมอะไรอย่างนี้
คำร้องในแต่ละเพลงเรียกว่าเลือดออกทุกพยางค์ คุณเอาคำเหล่านั้นมาจากไหนบ้าง
ในเพลงหนึ่งเพลงเราจะมีเวลาเล่าไม่เยอะมาก 3-5 นาที เพราะนั้นจะพูดอย่างไรใน 3-5 นาทีที่มี เพื่ออธิบายถึงความรู้สึกมากที่สุด ครบที่สุด ก็เลยเกิดเป็นคำอะไรบางอย่าง ตอนที่เราเขียนคิดว่าต้องเป็นคำนี้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วในภาษาไทยเขาใช้กันหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าถ้าไม่ใช่คำนี้ มันไม่สามารถเป็นคำพูดแทนความรู้สึกเราได้จริงๆ
อย่างเพลงวันทรงจำที่บอกว่า ทุกคืนที่ฉันปิดตาเพื่อลืม กลับตื่นในวันทรงจำที่มีเราอยู่ เราคงไม่เขียนว่า โห เวลาจะเข้านอน คิดถึงทุกทีเลย แล้วลืมไม่ได้ พอหลับไปก็ฝันถึงเธอแล้วลืมไม่ได้ เรารู้ว่าคำต้องกระชับมาก แล้วแทนความรู้สึกจริงๆ ให้ได้ เลยเป็นที่มาของคำบ้าๆ บอๆ ที่เราเขียนตลอดเวลาที่ผ่านมา โดยที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องเขียนคำที่เราเคยได้ยินว่าเพลงเราฟังยาก ไม่ได้ตั้งใจว่าเพลงเราต้องยากถึงจะดี ไม่เคยมีแม้แต่วินาทีเดียวว่าเราต้องเขียนเพลงให้ฟังยาก เรารู้สึกว่ามันพูดสิ่งที่รู้สึกพอแล้ว ต้องเท่านี้จริงๆ ถ้าไม่เท่านี้ มันทดแทนความรู้สึกที่เรารู้สึกไม่ได้
แล้วที่มามาจากการอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง อะไรแบบนั้นไหม
เราอ่านหนังสือน้อยจริงๆ ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงตอนนั้นไม่น่าจะเกิน 10 เล่ม นั่นคือก็เก่งมากแล้ว เราอ่านแล้วรู้สึกง่วง เลยไม่ค่อยอ่านเท่าไร ครอบครัวเราไม่ได้ปลูกฝังให้ชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่ว่าอ่านหนังสือไม่ดีนะ ดีจะตาย มันได้ท่องไปในจิตนาการ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ถนัดพักผ่อนด้วยการอ่านหนังสือ
อย่างที่บอกว่าตั้งแต่ทำเพลงอัลบั้มแรกก็เอาออกมาจากความรู้สึกข้างใจของตัวเอง ลึกๆ แล้วอยากให้เพลงทำงานแบบไหนกับคนฟัง
เรื่องนั้นมันหลังจากที่เขียนเพลงเสร็จแล้ว เวลาที่เราแต่งจะไม่กล้าคิดถึงเรื่องแบบนั้นเท่าไร ไม่ใช่ว่าเราเจ๋งมากนะ ไม่ต้องแคร์คนฟัง ไม่ใช่ครับ เพียงแต่ว่าถ้าสิ่งที่เราพูด เรายังไม่เชื่อ ใครจะเชื่อเรา เพราะนั้นมันต้องมาจากสิ่งที่เชื่อจริงๆ ก่อน แล้วฟีดแบ็กจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวค่อยว่ากัน จะชอบหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เคยมีบางเพลงที่คิดว่าคนน่าจะชอบ เพลงนิรันดร์อย่างนี้ ไม่เห็นมันทำงานอะไรเลย ตั้งแต่นิรันดร์เลยรู้สึกว่า ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ต่อไปนี้ก็ทำแบบที่เชื่อเหมือนเดิม เพลงวันทรงจำก็เป็นความรู้สึกจริงๆ ว่าต้องพูดแบบนี้ เราฟังกี่ครั้งต้องรู้สึกทุกครั้ง ก็เลยไม่คิดว่ามันจะทำงานยังไงกับคนฟัง หรือที่ได้ยินมา บางคนบอกว่าฟังเพลงเศร้าของเรา กลับช่วยให้เขา Move on ไปได้ ได้ยินทีแรกก็ ห๊ะ จริงหรอ เพลงเราพูดถึงเรื่องแย่มากเลยนะ หรือบางทีเราถูกให้เกียรติรับเชิญไปเล่นในงานแต่งงาน เลยกลายเป็นว่ามันทำงานยังไงกับคนฟัง อันนี้เราตอบไม่ได้จริงๆ
ฟังเพลงตัวเองแล้วเคยจมดิ่งกับสิ่งที่ตัวเองเขียนบ้างไหม
เคย เราเขียนเพลงให้นักร้องผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนั้นไปทิเบต มันเป็นช่วงที่ต้องนั่งรถประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วมองไปทางไหนสุดลูกหูลูกตาก็เป็นเนินเขา ทุ่งหญ้า เลยลองเอาเพลงนี้มาเปิดฟัง เพราะเป็นช่วงที่เพิ่งส่งให้เขา เรียบร้อยเลย คือช่วงนั้นมันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตเราด้วยแหละ พอฟังเพลงนี้ก็นั่งปาดน้ำตาอยู่เบาะหลัง
มองอย่างไรว่าทำไมเพลงเศร้าถึงฮิตอยู่เสมอๆ ไม่ว่าศิลปินใด เพลงใหม่ๆ ออกมาเท่าไร แล้วเพลงเศร้าก็มีมากมายเหลือเกิน
เพลงรักยังไงมันก็ไม่หายไป จะไม่เลิกฮิต ตราบใดที่คนยังรักกันอยู่ เพราะนั้นมันหนีไม่ได้จริงๆ ที่จะเป็นหนึ่งในทอปปิกที่อยู่ในเพลง หมายความว่าเพลงที่พูดถึงความรักที่สมหวัง หรือโดยเฉพาะเพลงรักที่ผิดหวังมากๆ อย่าลืมว่าเพลงเแบบนี้เกิดมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายนะ วินาทีนี้ยังมีคนแต่งอยู่ เรายังแต่งเพลงรักเพลงเศร้าเลย เท่าที่เราเข้าใจเอง เวลาเพลงดาร์กๆ ที่ผิดหวังหรือเศร้ามาก ถ้าคนที่มีความสุขอยู่ ฟังเพื่อความบันเทิงหรืออะไรก็ตาม จะรู้สึกว่าโคตรปลอดภัยเลย รู้สึกว่าโชคดีมาก แฟนโคตรรักเราเลย เราคบกันมานาน นั่นคือหนึ่งประเด็น ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง เท่าที่ได้ยินมาและที่เราเข้าใจคือ เหมือนเป็นเพื่อน โคตรเข้าใจความรู้สึกเราเลย ตอนวัยรุ่นเรายังเป็นเลย ช่วงเวลาที่อกหักก็ฟังเพลงบางเพลงซ้ำอยู่อย่างนั้น คือฟังให้มันแย่ทำไม แต่ก็ฟัง ไม่รู้ทำทำไม
อย่างนั้นการเขียนเพลงเศร้ามอบอะไรย้อนกลับมาบ้าง
มันได้เอาเรื่องข้างในออกไป เหมือนกับเวลาเราที่อึดอัดอะไรบางอย่าง แล้วเจอเพื่อนสนิทที่ไว้ใจมากๆ ก็เล่าให้เขาฟัง เราว่ามันรู้สึกโล่งขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย เพลงก็เหมือนกัน
มีเรื่องราวอื่นไหมที่อยากจะเขียน แต่ยังไม่เคยทำให้ใครฟัง
มี แล้วก็ยากที่จะเขียน มันเป็นเรื่องของความใจร้ายของคน ทำไมคนคนหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่งสามารถคิดทำร้ายกับคนบางคนหรืออีกกลุ่มหนึ่งได้มากขนาดนั้น
เป็นเรื่องของการ Bully
ใช่ๆ เริ่มเขียนแล้ว คิดว่าจะมีอยู่ในชุดนี้แน่ๆ หรือเพลงที่พูดถึงความเห็นอกเห็นใจคนอื่น หรือเพลงเกี่ยวกับการที่เราไม่เอาเปรียบคนอื่นหรือธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ก็ออยากพูด แต่ก็ต้องหาวิธีพูด อันนี้ยังไม่ได้เขียน แค่อยู่ในหัวเท่านั้นเอง
หากได้ดูการแสดงสดของ Greasy Cafe อารมณ์ของคุณจะมาเต็มตั้งแต่เสียงแรกเลย ก่อนขึ้นเวทีต้องบิลด์อารมณ์ตัวเองก่อนไหม ต้องเตรียมตัวเองอย่างไร
ไม่บิลด์ วอร์มเสียง ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยก็ลุยเลย เราว่าจริงๆ มันอยู่ที่พลังงานข้างหน้าเราด้วย คือการรับส่งพลังงาน เหมือนเราตีปิงปอง ถ้าเกิดเราตีอยู่คนเดียวลูกไม่กลับมา ยังไงมันก็ไม่สนุก แต่พอตีไปแรง กลับมาแรง มันจะเดือดมากเลย เพราะนั้นเตรียมใจกับร่างกายว่าวันนี้จะลุย แต่เวลาที่ร้องแต่ละเพลงมันก็จะฉุดให้กลับไป เวลาที่พูดถึงก็พูดด้วยความรู้สึกที่ยังรู้สึกอยู่ แต่พอจบเพลงเราก็จบความรู้สึกนั้น คือเรารอดพ้นช่วงเวลาย่ำแย่ในเพลงที่ผ่านมาไปแล้ว
หลังโชว์สิ่งที่เห็นจนเป็นภาพชินตาคือ พี่เล็กจะให้เวลาเยอะมากๆ กับแฟนเพลงที่ต่อแถวยาวเหยียด เท่านั้นไม่พอไม่เพียงถ่ายรูปหรือมอบลายเซ็นต์ บางครั้งบางทียังรับเรื่องราวต่างๆ ด้วย เหตุใดถึงให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากๆ
เราว่าเป็นเรื่องสำคัญ มันไม่ใช่เราให้เวลาเขา เขาให้เวลาเรานะ คือในแต่ละคืนที่เราเล่น เขาไปที่ไหนก็ได้ นอนอยู่ที่บ้านก็ได้ เขาเสียสละเวลาส่วนตัวมากๆ มาอยู่กับเรา สมมติว่าเล่น 5 ทุ่ม บางคนมาตั้งแต่ 5 โมงเย็น มาตั้งแต่ซาวด์เช็ก สำหรับเรามันไม่ได้เป็นการแค่เล่นจบแล้วก็จบงาน แต่งานยังไม่จบ เราเลยรู้สึกว่าอยากเจอ อยากเห็นใกล้ๆ อยากคุยสั้นๆ อยากขอบคุณ ได้ถ่ายรูปกับเขา ไม่ใช่เขาได้ถ่ายรูปกับเรานะ บางครั้งมันก็เหนื่อย อาจจะยิ้มน้อยไปหน่อย แต่อยากจะบอกว่าดีใจมากๆ ที่คุณยอมถ่ายรูปกับเรา และยอมเอาเวลามาอยู่กับเรา เราซาบซึ่งมากๆ
ถ้าให้ย้อนความทรงจำ ตั้งแต่เพลงแรก ‘หา’ จนถึงล่าสุด ‘วันทรงจำ’ มองการเติบโตตลอดกว่า 21 ปีในการเป็นศิลปินของตัวเองอย่างไร
เรื่องแรกก่อนเราไม่มองว่าเราเป็นศิลปิน กลับไปที่คำถาม ช่วงแรกเป็นการสุ่มเสี่ยงมากเลย จากการที่กระโดดจากช่างภาพมาทำดนตรี โดยที่มองไม่เห็นอนาคตตัวเอง ไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่มันเป็นสิ่งที่หัวใจอยากทำมากๆ เพราะฉะนั้นตลอดเวลา 21 ปีที่ผ่านมา เราดีใจมากที่ได้ทำในสิ่งที่รักและเชื่อจริงๆ แล้วมันทำให้เรามีข้าวกิน
เล่าถึงประสบการณ์การเป็นนักจัดรายการวิทยุว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เกิดขึ้นโดยพี่บูม ที่ Cat Radio มาชวน เขาจะทำรายการใหม่ ช่วงจดหมายเด็กแมว ให้คนเขียนจดหมายมา แล้วเรามานั่งอ่าน แต่ตอนแรกที่บูมชวนคือ พี่เล็กไปเป็นดีเจที่คลื่นดีกว่า โอ๊ย เราไม่เป็น ไม่เคยทำ เขาก็บอกว่าสบายพี่ นั่งอ่านจดหมายกัน เดี๋ยวมีพี่คมสันต์ (นันทจิต) กับพี่บอย ตรัย (ภูมิรัตน) อยู่ด้วย ก็คิดในใจว่าลองดูก็ได้นะ ปรากฏว่าสิ่งที่ตามมามันทำให้เราได้สื่อสารกันมากขึ้นกว่าที่สื่อสารกัน หลายคนบอกว่าทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนเศร้าตลอดเวลา มาจัดรายการก็ไม่เห็นจะเศร้าอะไรเลย กับสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้มาในช่วงเวลาที่จัดรายกายจดหมายเด็กแมวคือ เราอ่านหนังสือน้อยมาก ทำให้เราอ่านหนังสือคล่องมากขึ้นหน่อยนึง ก็อยากจะขอบคุณ Cat Radio ด้วย
คิดฝันมาก่อนไหมว่าอยากจะเป็นนักจัดรายการวิทยุ
ไม่มี ไม่เคยคิดเลย แม้แต่เพลงก็ตาม ถ้าพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารค่ายเพลง Smallroom) ไม่ชวน ก็ไม่คิดว่าจะได้ทำหรือเปล่า เราไม่มีความกล้าหรือไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถมากพอในการที่จะถือเดโมไปเสนอ เพราะเราก็ไม่คิดว่าจะทำเดโมขึ้นมาอยู่แล้ว พี่รุ่งให้โอกาสและชวน ก็เลยลองดู ถามว่ารักไหม โครตรัก แต่ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้
จากการเป็นนักจัดรายการวิทยุคิดว่าได้รับอะไรกลับคืนบ้าง
เราไม่ได้คิดว่าจะหวังไปได้อะไร แต่อย่างที่บอกว่าทำให้ได้เข้าใจกันมากขึ้น ระหว่างคนที่เขียนจดหมายมากับเราที่เป็นคนอ่าน ได้แลกเปลี่ยนกัน บางคนอาจจะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่พอเขียนจดหมายก็ได้รู้จักตัวเขามากขึ้น
ในเอ็มวีเพลงรอยกระพริบตา ภาพโปสเตอร์ของเพลงเป็นฝีมือของคุณ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำให้คุณคิดถึงการถ่ายรูป หรือก่อนหน้านั้นก็ถ่ายมาเรื่อยๆ
ถ่ายบ้างครับ แต่รอยกระพริบตาเป็นอีกหนึ่งช่วงที่ทำให้รู้สึกว่า กลับมาถ่ายรูปดีกว่า แล้วก็จริงจังมาก เตรียมอุปกรณ์ ซื้อฟิล์ม ตอนถ่ายก็ได้อารมณ์ช่วงถ่ายหนังกับคืนมา ก็ไหลมาเรื่อยๆ
เดิมเป็นช่างภาพที่ถ่ายภาพเบื้องหลังกองถ่ายภาพยนตร์ แล้วหลังจากรอยกระพริบตาถ่ายอะไร
ถ่ายเล่นแล้ว แต่ก็เริ่มจริงจังมากขึ้น ล่าสุดไปโอมานก็ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำนิทรรศการ
ภาพแบบไหนที่คุณสนใจจะบันทึก
เราชอบถ่ายภาพคนมาก เราว่ามันมีความแตกต่างกัน หลังๆ ก็เริ่มชอบถ่ายอะไรที่นิ่งๆ มากขึ้น
กำลังจะมีนิทรรศการภาพถ่ายของตัวเอง เล่าให้ฟังหน่อยว่าวันที่อยากจะทำความคิดตั้งต้นเป็นอย่างไร
จริงๆ เป็นโปรเจ็กต์นานมากแล้ว จุดเริ่มต้นตั้งแต่ไปสเกาต์โลเคชันภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาที่ทิเบต ก็ไปถ่ายรูป แล้วเอาเครื่องอัดเสียงไปด้วย ก็อัดเสียงลำธาร พระสวดพิธีกรรมต่างๆ มาสร้างเป็นเพลงจำนวนหนึ่ง ทีนี้จะทำก็ไม่ได้ทำอยู่อย่างนั้น ก็ลุยทำเพลงเรื่อยมา เมื่อไม่นานมานี้ก่อนไปโอมาน ก็ไปที่เลห์ ได้ถ่ายรูปกลับมาเหมือนกัน เป็นรูปวิว รูปคน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ จนเริ่มรู้สึกว่าเข้ามือ ความรู้สึกแบบตอนถ่ายหนังเริ่มนิ่งแล้ว ไม่กลัวกล้องอีกต่อไปแล้ว เลยรู้สึกว่าควรทำอะไรบางอย่าง รวบมารวมกันเป็นชิ้นงานคือ Panoramic ซึ่งเป็นนิทรรศการภาพและเสียง
ความรู้สึกที่ไปโอมาน เลห์ และทิเบต บางส่วนของแต่ละแห่งทำให้นึกถึงกัน ผ่านช่วงเขาทำไมเหมือนเลห์ เหมือนทิเบต สามที่ที่เราไปเหมือนเป็นภาพพาโนราม่ากว้างๆ ภาพเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วความรู้สึกของเราคือ ใครทะเล้นคิดพรมแดนขึ้นมา เราไม่ควรพรมแดนแยกแบ่งกันหรือเปล่า พอไปอยู่กับธรรมชาติตรงนั้นมันเรียบง่ายสุดๆ และยิ่งใหญ่มากๆ กว่าที่เราจะไปตั้งตนหรือเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ นิทรรศการครั้งนี้เป็นบางอย่างที่เราแอบอยากบอกความรู้สึกในใจว่า มันไม่มีพรมแดนนะ และไม่อยากให้มันมี เราไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าเราแตกต่างกัน ก็มีเพลงที่ทำขึ้นมาด้วย 6 เพลง ภาพถ่ายประมาณ 40 ภาพ แล้วมีโฟโตบุ๊กด้วย
เคยจัดนิทรรศการมาก่อนไหม
ไม่เคย ครั้งแรกเลยครับ ตื่นเต้นและลุ้นมาก จะรอดไม่รอด เพิ่งไปร้านปริ้นต์กลับมา มันแพงมากเลย
แสดงว่าลุยจัดเองทุกขั้นตอนเลย
ลุยกับแฟนนี่แหละ วันก่อนก็ไปโรงพิมพ์ ไปดูกระดาษ แม้แต่สถานที่จัดแสดงงานก็ไปดูกันเองก็สนุกดี
จัดแสดงที่ไหน
Seenspace ทองหล่อ
ในชีวิตมีคิดว่าอยากจะทำอะไรอีกบ้างไหม
ยังคิดไม่ออก เราไม่ค่อยตั้งเป้าตัวเอง เห้ย…อยากเป็นดีเจ ทำดีกว่า ไม่ค่อยได้คิดอะไรแบบนั้น เพียงแต่ว่าถ้ามีโอกาสได้ทำ เราไม่ค่อยปฏิเสธ