ก่อนหน้านี้คงรู้จักชายหนุ่มมาดเซอร์นามว่า ‘มอร์-วสุพล เกรียงประภากิจ’ ในฐานะนักร้องนำวง Ten To Twelve แต่ทว่าหลังจากห่างหายจากการทำเพลงไปกว่า 2 ปี เขากลับมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ประการแรกคือในฐานะ ศิลปินเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต นามว่า ‘Morvasu’ ประการต่อมาคือในแง่ของงานเพลงที่ลบภาพเดิมจากที่เคยได้ฟังผลงานของเขามา ซึ่งเขาอธิบายแนวทางเอาไว้ว่าเป็น ‘เพลงป๊อปยุค 2020’ ซึ่งเกิดจากความคิดที่ต้องการเลื่อนไหลไปตามยุคตามสมัย นั่นจึงเกิดเป็นซิงเกิลใหม่ Melbourne ซึ่งหลังจากออนแอร์ผ่านทางยูทูบเพียงอาทิตย์แรกก็มียอดวิวกว่า 1.1 ล้านครั้ง
คุยเปิดตัว Morvasu ในฐานะศิลปินเดี่ยว ชวนเล่าถึงจุดเริ่มต้น โปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เกิดจากตอนที่วง Ten To Twelve เบรกไป ผมรู้สึกว่าตัวเองยังอยากทำเพลงอยู่ แต่ว่าทำเพลงที่ไม่เหมือน Ten To Twelve เป็นเพลงป๊อปในยุคนี้ ผมเติบโตมาในยุค 2010 มันจะวิธีการขึ้นเพลงอีกแบบหนึ่ง แต่เพลงป๊อปยุคนี้จะมีการขึ้นเพลงอีกแบบหนึ่ง ถ้าเชิงลึกเมื่อก่อนก็จะมี Verse, Pre และ Hook แต่ตอนนี้คือทำเป็นลูป แล้วแบ่งเป็นท่อน ผมเลยอยากทำเพลงป๊อปสมัยนี้ แล้วลองศึกษาดู เมื่อปีที่แล้วผมหยุดงานประจำ เพื่อมาทำเพลงประมาณเดือนหนึ่ง พอหยุดมาอาทิตย์แรกกลับคิดเพลงไม่ออก เพราะว่าเราไม่ได้โตมากับยุคนี้เลยไม่เข้าใจ เราฟังเพลงแล้วชอบ แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นมาอย่างไร มันไม่ไหล แล้วพอพยายามมันก็ไม่ดี เลยเริ่มทำความเข้าเพลงในยุคนี้ใหม่ ก็ได้มาซึ่งเพลงชุดนี้
ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำของวง Ten To Twelve แล้วพอมาเป็น Morvasu ที่พอได้ฟังเพลงแล้ว มันแตกต่างจากวงเดิม แล้วทิศทางแนวเพลงที่ทำจำกัดความไว้อย่างไร
ถ้ามีคนถามผมว่าทำเพลงแนวอะไร ผมจะตอบว่าเพลงป๊อปยุค 2020 ก็เป็นเพลงป๊อปสมัยนี้ ยุคปีนี้ มีความเป็น Indy Pop, Lo-Fi, Bedroom Pop จริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้ Category มันแบ่งได้ยากมาก เพราะทุกอย่างรวมกันหมดแล้ว
หลงใหลงานดนตรีแนว Indy Pop, Lo-Fi, Bedroom Pop ได้ยังไง
ฟังเพลงแล้วเราชอบ ผมเป็นคนชอบฟังเพลงใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อที่จะได้รู้ว่าโลกเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนเราสนใจในตัวคนยุคปัจจุบัน ฟังเพลงยุคนี้แล้วชอบ พูดแล้วแก่จังเลย เรารู้สึกว่า Evolve ไปตามยุคตามสมัย ไม่อยากแก่ เป็นคนที่อายุมากกว่าที่ชี้นิ้วบอกว่ายุคกูมันเจ๋งกว่ายังไง ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นกว่านี้ ผมมีปัญหาอย่างนั้นมาโดยตลอด ทำไมคนแก่ต้องทำอย่างนั้น พอโตมาผมก็ไม่อยากโตมาเป็นคนแก่แบบนั้น ก็เลยพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ
เคยสัมภาษณ์เอาไว้ว่า พอได้ทำคนเดียว ทำให้รู้ว่าชอบเพลงแบบไหน ถนัดร้อง ถนัดเขียนแบบไหนมากขึ้น อยากให้อธิบายเพิ่มเติมถึงสิ่งที่ค้นพบหน่อย
การทำเป็นวงกับการทำเดี่ยวสนุกไม่เหมือนกัน การทำวงก็เหมือนกับว่าทำงานกลุ่มวิทยาศาสตร์ส่งครู แต่ทำงานเดี่ยวช่วงแรกก็เหงาๆ หน่อย หันซ้ายหันขวาไม่เจอใคร แต่ข้อดีของมันก็คือ เราก็ได้พึ่งคนอื่นน้อยลง รู้จักตัวเองมากขึ้น ยกเว้นด้านดนตรี ผมเชื่อปกป้อง จิตดี โปรดิวเซอร์ของผม มากกว่าเชื่อตัวเองซะอีก แต่ถ้าเรื่องโครงสร้างเพลง วิธีเขียนเนื้อ ทำเมโลดี้ เราก็ได้เรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเองมากขึ้น ถ้าพูดการเขียนเนื้อ สมัยก่อนวิธีการเขียนของผมก็จะอีกแบบหนึ่ง เป็นการคราฟต์ไปเรื่อย เคยฟังไม่มีที่มากันไหม สมมติว่ามีเนื้อเพลงก้อนนี้แล้วก็จะเปลี่ยนคำให้สวยขึ้น ให้รู็สึกมากขึ้น เป็นการแก้อันเดิมให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ผมเรียกว่าคราฟต์ แต่พอมาเพลงเซ็ตนี้ โดยเฉพาะเพลง Melbourne ก็เป็นการคราฟต์แต่ว่าเป็นอีกแบบ ดูให้ไม่พยายามมากไป ไม่ใช่การปั้นคำ เช่นจะมีท่อน Verse 2 ที่ว่า ‘โอ้ว มานั่งชิล เบียร์ท่ีริมหาดทําไมชีวิตมันดีอย่างนี้ หรือเพราะมีเธอข้างกัน ตัวเริ่มดําและหน้าเริ่มแดง หรือเพราะเราโดนแดดแรงๆ แต่เราไม่แคร์ไม่สนเพราะเรานั้นมีความสุขมากล้น’ จริงๆ แล้วเขียนหลายรอบ เขียนนานมากด้วย ไม่ใช่ก็ลบ จนรู้สึกว่าใช่อันไหนก็ใช่
แสดงว่าในยุค Ten To Twelve จะมีการพยายามปั้นคำ
ใช่ พยายามหาคำ วิธีการใช้คำก็ไม่เหมือนเดิมด้วย ‘โอ้ว มานั่งชิล เบียร์ท่ีริมหาดทําไมชีวิตมันดีอย่างนี้ หรือเพราะมีเธอข้างกัน’ ไม่มีสัมผัสเลยนะครับ ปกติเพลงต้องไรม์ อันนี้ไม่ไรม์ แต่รู้สึกว่าใช่ ตอนที่เขียนรู้สึกว่าคำแบบนี้มันจั๊กกะจี๋มาก ทำไมชีวิตดีแบบนี้ คนบ้าอะไรขะเขียน เพราะมันต้องมีความสุขมากๆ เลย มันถึงจะพ่่นคำนี้ออกมา ผมรู้สึกว่ามันจั๊กกะจี๋และ represent ความรู้สึกตอนนั้นได้ดี เหมือนพยายามน้อยลง ซึ่งมันคนละแบบกับตอนเขียนให้ Ten To Twelve
ผมว่าอาจจะเป็นเรื่องวัย เหมือนกับว่าช่วงที่ทำ Ten To Twelve ผมพยายามจะเป็นอะไรบางอย่าง แต่นี้รู้สึกว่าไม่ต้องพยายามอะไร แต่ว่าคนฟังอาจจะชอบยุคนั้นมากกว่าก็ได้นะ เราไม่สามารถโกหกกับการเปลี่ยนไปของตัวเองได้ ซึ่งผมก็ชอบในแบบนี้นะ มีการใช้คำโง่ดี ชอบความเด๋อของคำ เลี่ยนจังเลย แต่ชอบจังเลย มันก็ไม่แปลก คำมันอินเลิฟไง
มีศิลปินหลายต่อหลายที่แตกขยายจากวงเดิม เมื่อต้องมีสร้างสรรค์งานเพลงใหม่ คุณว่ามันเป็นแต้มต่ออะไรไหม ในแง่ของการพาเพลงไปให้คนรู้จักง่ายขึ้น
มันมีความล้างไพ่ประมาณหนึ่ง เพราะเพลงไม่เหมือนกันเลย ถ้าคนได้ฟังเพลงแล้วไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องนี้ รสชาติมันไม่เหมือนกัน
อีกอย่างหลายคนก็อาจจะสลัดภาพเก่าไม่ออก คุณมีวิธีอย่างไรให้คนฟังรับรู้ความเป็น Morvasu มากขึ้นกว่าจากพื้นเพเดิมที่เป็น มอร์ Ten To Twelve
ผมว่าทุกอย่างที่ออกไปมันไม่เหมือนกับ Ten To Twelve อยู่แล้วครับ
ปล่อยให้เพลงทำงานไป แล้วให้คนรับรู้ในความเป็น Morvasu แบบนั้นไหม
จริงๆ ผมไม่ค่อยคิดเรื่องความเป็นตัวเอง ความเป็น Morvasu ถ้าคนฟังเพลงเราก็คงจะดี ไม่ได้คิดตัวตนเราเป็นใหญ่ขนาดนั้น แล้วตอนนี้เพลง Morvasu ดีอยู่อย่างคือตื่นมาแล้วร้องได้เลย เพลง Ten To Twelve สูงมาก ผมอยู่ในยุคเดียวกับ 25Hours Musketeers เขาเป็นคนเสียงสูงธรรมชาติ ผมเป็นคนเสียงต่ำ ก็ต้องมาร้องเหมือนแตะเพดานทุกเพลง มันไม่ไหว ต้องวอร์มดีมาก เป็นเรนจ์เสียงไม่เผื่อวันป่วยเลยครับ อย่างเพลงไม่มีที่มาชัดมาก
คุยถึงเพลงใหม่ในรอบ 2 ปีหน่อย Melbourne ที่บอกว่าจะเป็นเพลงป๊อปยุค 2020 ไอเดียในการทำเพลงนี้เป็นอย่างไร มีที่มาจากไหน
เพลง Melbourne เป็นเรื่องราวจากตอนที่ผมไปเที่ยวโร้ดทริปที่เมลเบิร์น ขับรถไปตามชายหาดเรื่อยๆ ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มีความสุขมาก ยิ่งไปคนที่เรารัก โลกก็มีอยู่แค่เราสองคน ไปเที่ยว ค่อยๆ รู้จักกัน ค่อยๆ ใช้ชีวิต มันดีมาก เป็นความสุขมาก เลยมาเป็นเพลงนี้ สมมติว่าเพลงมีบวกมีลบ เพลงนี้ก็บวกๆๆ
วางไว้ว่าจะเป็นอัลบั้มเลยไหม
ตอนนี้คิดว่าจะทำเพลงไปเรื่อยๆ ยังไม่คิดว่าจะเป็นอัลบั้ม ผมจะเน้นว่าให้จำนวนออกมาเยอะๆ แล้วค่อยรวมทีเดียว ตอนนี้มี 4 เพลงแล้ว ยังมีอีก 2-3 เพลงที่ยังไม่ได้ทำเดโม พอครบจำนวนค่อยรวมได้ เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยซื้ออัลบั้มแบบฟิซิคัล (หมายถึงซีดี เทป แผ่นเสียง)
ก่อนหน้านี้เคยสัมภาษณ์ไว้ว่า เขียนเพลงไม่แฮปปี้ไม่เป็น แต่ตอนนี้เพลงสดใสมาก อะไรเป็นจุดเปลี่ยน
จริงๆ เพลงช้าเพลงเศร้าก็มีครับ แต่อยู่บนคนละวิธีของดนตรี จะมีเพลงชื่อเทาๆ ก็เป็นเพลงเศร้า แต่อยู่บนบีทที่ไม่ได้เศร้ามา แต่เปลี่ยนวิธีทำ ข้างในเรายังมีความเป็นมนุษย์ ที่มีความรัก โลภ โกรธ หลง
แสดงว่าตอนนี้เขียนเพลงได้ใยแบบที่ไม่ต้องตกอยู่ในห้วงเวลาเศร้า
ใช่ครับ ตอนนี้เขียนเพลงเป็นรูทีนแล้ว ช่วงเขียนเพลงก็เขียนเรื่อยๆ ไม่ต้องรอฟีลด้วย แต่ฟีลก็มีผลให้เพลงออกมาง่ายกว่า
เวลาเขียนเพลงคุณได้วัตถุดิบมาจากไหน
จากตัวเราเองบ้าง จากคนอื่นบ้าง จากเรื่องที่เราคิดว่าเข้าใจบ้าง ก็ชอปปิงมาผสมๆ กัน เวลาผมเขียนเพลงก็เหมือนกับการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ อีกอาชีพหนึ่งผมก็เป็นผู้กำกับ มันก็มีต้น กลาง จบ เป็นการเล่าเรื่องเหมือนกัน แต่อยู่คนละฟอร์แมต อาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะ ในโฆษณาและภาพยนตร์ก็จะมีภาพและเสียง เพื่อให้คนเข้าใจ แต่มาเป็นเสียงอย่างเดียว เนื้อร้องต้องทำงานกับดนตรี ซึ่งต้องเขียนอีกแบบหนึ่ง คือมันเป็นศาสตร์เดียวกัน แต่แค่อยู่คนละแขนง บางทีเวลาเขียนเนื้อเพลงผมเขียนเป็นเรียงความ แล้วค่อยตัดบางส่วนออกมาเล่า
ปล่อยเพลงใหม่ในช่วงที่สังคมเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน คนต้องใช้วิถีชีวิตกันใหม่หรือ New Normal อย่างนี้คุณมีหลักคิดในการตัดสินใจอย่างไร แล้วจะพาเพลงออกไปหาคนฟังได้ยังไง
คิดแค่ว่าอยากปล่อยเพลงใหม่ ไม่ได้คิดว่า New Normal หรือเปล่า เพราะว่าต้องปล่อยอีกหลายเพลง ก็ถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยเพลงแรก
ช่วงล็อกดาวน์ร่วมๆ 2 เดือนที่ผ่านมา แน่นอนว่างานการของคุณได้รับผลกระทบตรง ออกกองไม่ได้ เล่นคอนเสิร์ตก็ไม่ได้ ช่วงนั้นคุณจัดแจงชีวิตยังไง ทำอะไรบ้าง
กระทบครับ ไม่มีงานกำกับเลย ข้อดีคือพอรู้ว่าไม่มีงานกำกับก็ทำงานเพลงแบบฟลูไทม์ เหมือนอยู่บ้านทำเป็นงานประจำเลย ซึ่งแต่ละเพลงก็มีโครงสร้างอยู่แล้ว แค่ทำให้เป็นเดโม ก็ทำให้เสร็จ เพราะว่ามีเดดไลน์ที่คุยกับค่ายเอาไว้แล้ว อย่าง Melbourne ก็ทำเสร็จนานแล้ว แต่เป็นเดโมที่มาเสนอค่ายช่วงโควิด-19 พอค่ายไฟเขียวก็มาทำให้เป็นมาสเตอร์
พอปล่อยเพลงใหม่แล้ว ตั้งเป้ากับตัวเองไว้ต่อไปอย่างไร
ผมอยากปล่อยเพลงบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเพลงมันพาเราไปที่ไหนก็ดี แต่คิดว่าเรามีแรงก็ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันคงพาเราไปสักที่หนึ่ง ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้ 10 ล้านวิว แต่เราคิดไว้แล้วว่าถ้าได้ล้านวิวในหนึ่งเดือนจะเลี้ยงหมูกระทะทีมงานในค่าย
คาดหวังอะไรในการทำงานที่เป็น Morvasu
มีความหวัง แต่ไม่ได้คาดหวัง ถ้าคนชอบเราก็ดีใจ ถ้าไม่ชอบเราทำเพลงใหม่ ถ้ามีแรงต่อ แต่ถ้าเพลงดังเราก็ดีใจ ใครจะไม่ดีใจล่ะ
นักร้อง ผู้กำกับ นักแสดง ฝันอยากจะเป็นอะไรก่อนกัน
นักแสดงไม่เคยฝันและไม่ค่อยได้เล่น แต่มิวสิกวิดีโอทำทุกอย่างในนี้ เล่นเอง กำกับเอง ร้องเอง จริงๆ แล้วผู้กำกับ กับเล่นดนตรีมาพร้อมกัน สมัยก่อนผมชอบดูเอ็มวีมาก เลยหลงรักภาพและเสียงเพลงมาก
ในแง่การลงมือทำล่ะ เริ่มจากอะไรก่อน
เริ่มจากเล่นดนตรีก่อน แล้วค่อยมาทำโปรดักชัน ตอนนี้ก็ทำคู่กัน
ดูแต่ละสิ่งที่เลือกทำ ต่างก็เป็นงานในแขนงศิลปะทั้งนั้นเลย เพราะอะไรถึงปรารถนาที่จะทำงานเหล่านี้
มันมาจากความชอบ ชอบแล้วก็เลยคิดว่าอยากทำ มันง่ายแค่นั้นเลยครับ เราก็ชอบเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เราชอบ เหมือนชอบเพลงเราก็เอาตัวเองไปอยู่ในเพื่อนที่ทำเพลง การทำภาพยนตร์ก็เอาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ กับคนที่ทำภาพยนตร์
ช่วยเล่าย้อนหน่อยว่าการพาตัวเองมาเป็นนักตรี ผู้กำกับ ได้อย่างไร
แค่ทำเพลง ตอนที่ทำ Ten To Twelve เราไม่ได้เป็นวงที่คัฟเวอร์เก่งเลย ก็แค่ทำเพลงตัวเอง การทำเพลงตัวเองมันก็จะบ่งบอกเทสต์ของเรา โชคดีที่มีคนชอบเพลงของเรา พี่บอล Scrubb ก็เป็นหนึ่งในคนที่ให้โอกาสเราตั้งแต่ตอนเพิ่งฟอร์มวง เลยได้รับโอกาสมาเรื่อยๆ ในการกำกับ ผมเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่ Phenomena ผมลาออกมาเพื่อมาออกเทป ตอนนั้นมีเหตุเหตุผล อย่างน้อยเราต้องออกสักอัลบั้มหนึ่ง แล้วคิ้ว มือกีตาร์คนแรกของวงเสียชีวิตด้วย เราต้องมีสักอัลบั้มหนึ่งเพื่อเพื่อนตัวเอง พอดีตอนนั้นเป็นซิงเกิลหลังๆ ของ อัลบั้มแล้วไม่ค่อยมีเงิน เลยกำกับเอ็มวีเอง แล้วค่ายเขาก็ใจดีให้กำกับเอ็มวีตัวเอง เลยได้ทำเอ็มวีให้กับ Musketeer Big Ass แล้วก็เริ่มได้ทำโฆษณา ก็ค่อยๆ ไหลไป
ชอบผลงานใดบ้างที่ตัวเองทำมาทั้งงานเพลง งานกำกับ และงานแสดง
งานเพลง ส่วนใหญ่จะชอบงานในปัจจุบัน ผมชอบเพลงล็อตนี้มา แต่จริงๆ ไม่ว่าเพลงยุคไหนปล่อยออกมาเราก็ชอบทั้งนั้น มันบ่งบอกเรื่องราวอะไรคนละอย่างดี ส่วนงานกำกับ ถ้างานมีชอบปีสองปีที่แล้วก็มีงานชื่อว่า The Rooftop เป็นงานโฆษณากึ่งหนังสั้นเกี่ยวกับการเลิกบุหี่ ซึ่งติดช็อตลิสต์ในเทศกาล Cannes Lions 2019 แต่ว่าไม่ได้รางวัล ถ้างานใหม่ล่าสุดที่ชอบจะเป็นงาน ศรีจันทร์ Gen 2 หรืองานนันยาง ผมทำโฆษณาออนไลน์ให้นันยางมา 7 ปีแล้ว สังเกตได้ว่าถ้าเป็นเสียงผม นั่นคืองานผมทำ ปีที่แล้วเป็นนันยาง แด่คนกลางๆ พูดถึงการโตมาเป็นคนกลางๆ เราได้ใช้สิ่งที่เราประสบในงาน ผมโตมาแบบเด็กกลางห้อง หนังก็จะเล่าเรื่องว่าคนเราใช้เวลาเติบโตไม่เท่ากัน เราเขียนจดหมายไปหาตัวเองในตอนเด็ก เราเรียนไม่เก่ง กีฬาก็ไม่เด่น จีบหญิงก็ไม่เป็น คงเขียนจดหมายไปบอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็มา สำหรับงานแสดงชอบเอ็มวี Melbourne
แล้วปัจจุบันงานไหนที่เรียกว่าคืออาชีพหลักของคุณ
ถ้าเป็นรายได้ก็เป็นผู้กำกับ แต่ช่วงนี้ก็อยากจะโฟกัสในการเป็นศิลปินมากขึ้น เพราะว่าคิดถึง
คุณบาลานซ์งานหลายๆ ส่วนที่แตกต่างกันได้อย่างไร
หาวิธีเรียนรู้ ผมก็ทำควบคู่กันไป ช่วงนี้ผมก็รับงานกำกับน้อยลง เพื่อที่จะได้มีเวลาโฟกัสกับการทำเพลงมากขึ้น
อะไรคือความท้าทายในแต่ละงานที่คุณทำบ้าง
ถ้าเป็นศิลปินเราจะคอนเน็กกับวัยรุ่นยุคใหม่อย่างไร โดยที่แฟนเพลงเก่าๆ รู้สึกว่าไม่ได้ทิ้งเขา ถ้างานกำกับก็ทำอย่างไรให้เรารู้สึกชอบงานตัวเองอยู่ ทำให้งานเราดีขึ้น ไม่ถอยหลัง ซึ่งยากมากๆ
มีความฝันอะไรที่อยากจะทำอีกไหม
ผมเจอคำถามนี้บ่อยมากเลย ถ้าด้านการงานไม่มีเลยครับ แต่ทุกทางผมยังรู้สึกว่ายังต้องไปอีกไกล เลยคิดว่าทำกำกับให้ดีขึ้น เล่นดนตรีให้ดีขึ้น อาจจะมีความท้าทายว่าอยากทำเอ็มวีกำกับเอง เล่นเอง แบบเอ็มวี Melbourne มันยากดี