Thursday, October 5, 2023
More

    ชวนไปส่องนวัตกรรม-สิ่งประดิษฐ์ฝีมือคนไทย ปกป้องบุคลากรทางการแพทย์จากเชื้อไวรัส

    ในช่วงสถานการณ์ที่โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ต่อเนื่อง หลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และเอกชน ต่างระดมกำลังเพื่อคิดค้นงานวิจัย สร้างนวันกรรม และสิ่งประดิษฐ์ เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหา และป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล

    โดยนวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ฝีมือคนไทยที่หลายหน่วยงานคิดค้น และพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ อาทิ


       

    นวัตกรรมประเภทอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สวมใส่ สจล. ผุด AI ตรวจสอบคุณภาพการผลิตหน้ากากอนามัย

    สจล. ผุดนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับตรวจสอบคุณภาพการผลิตหน้ากากอนามัย แทนแรงงานคนที่มีความเสี่ยงเรื่องการควบคุมมาตรฐานความสะอาดในการผลิต เพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบ และเพิ่มกำลังการผลิต แก้ปัญหาภาวะหน้ากากอนามัยขาดตลาด ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการผลิตหน้ากากอนามัยให้ทันต่อความต้องการการใช้ในสถานพยาบาล รวมถึงประชาชนทั่วไป ภายใต้โครงการ 60 ปี พระจอมเกล้าลาดกระบัง ไร้ขีดจำกัด” (KMITL 60th Year: Go Beyond the Limit) ซึ่งเป็นการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม และทันสถานการณ์ จะช่วยดิสรัปต์ภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้

    โดยระบบการตรวจสอบ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ การตรวจสอบมาตรฐานกระบวนการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ซึ่งการทำงานของ AI จะช่วยรักษามาตรฐานความสะอาดในกระบวนการผลิต ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อโรคจากการใช้แรงงานคน เพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบคุณภาพการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิต ซึ่งจะช่วยให้การผลิตหน้ากากอนามัยทันต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของผู้ที่มีความจำเป็นในการใช้งานอย่างบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนประชาชนทั่วไป

    จุฬาฯ คิดค้นสเปรย์ฉีดพ่นหน้ากากผ้า ป้องกันไวรัส


    ขณะที่ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ และทีมวิจัย ได้คิดค้นนวัตกรรมสเปรย์ใช้สำหรับพ่นหน้ากากผ้า หรือ ชีลด์พลัส โพรเทคติ้ง สเปรย์ (Shield+Protecting Spray) ปราศจากสารที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ โดยสเปรย์จะทำหน้าที่เป็นตัวกรองของหน้ากากผ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัส น้ำ และละอองสารคัดหลั่ง


    ซึ่งจากการทดสอบประสิทธิภาพเบื้องต้นพบว่าหน้ากากผ้าที่ผ่านการพ่นด้วย Shield+ Protecting Spray เกิดการเชื่อมต่อของเส้นใยผ้ามากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอนเพิ่มขึ้น 83% และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกรองเชื้อโรคในน้ำลายและในอากาศได้มากขึ้น 93% และ 142% ตามลำดับ ทั้งนี้ Shield+ Protecting Spray จะถูกผลิต และแจกจ่ายจำนวน 10,000 ขวด ซึ่งสามารถใช้พ่นหน้ากากผ้าได้รวม 240,000 ชิ้น ให้กับทีมสนับสนุนบริการทางการแพทย์ พนักงานขับรถส่งของให้กับโรงพยาบาล ตำรวจและทหารประจำด่านสกัด COVID-19 และพนักงานเก็บขยะที่ช่วยดูแลจัดการของเสียจากครัวเรือน

    วชิรพยาบาล พัฒนาหน้ากากอนามัยไส้กรอง N99 จากซิลิโคน, หมวกปรับแรงดันบวก และ ชุด PPE ต้นทุนต่ำ แต่คุณภาพเทียบเท่าวัสดุนำเข้าจากต่างประเทศ

    โดยหน้ากากอนามัยไส้กรอง N99 เป็น 1 ใน 4 นวัตกรรม ที่คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช พัฒนาขึ้นโดยการหล่อหน้ากากซิลิโคนที่สามารถผลิตได้เองในประเทศไทย ต่อเข้ากับ HEPA Filter ของเครื่องช่วยหายใจ ยึดติดให้แนบหน้าด้วยยาง 2 เส้นเช่นเดียวกับหน้ากาก N95 โดยมีต้นทุนในการหล่อหน้ากากซิลิโคนเพียง 100-200 บาท ขณะที่ HEPA Filter ปัจจุบันยังต้องนำเข้า แต่อนาคตประเทศจะสามารถผลิตได้เอง ก็จะทำให้ต้นทุนรวมลดต่ำลง โดยหน้ากากอนามัยไส้กรอง N99 มีกำลังการผลิตราว 200 ชิ้นต่อวัน คาดว่าภายในเวลา 1 สัปดาห์สามารถผลิตได้เพียงพอต่อการส่งมอบให้กับโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยโควิด-19 โดยเฉพาะกับโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ยังขาดแคลน

    ขณะเดียวกันยังมีหมวกปรับแรงดันบวกสำหรับใช้ในห้องผ่าตัด (Powered Air-Purifying Respirator – PAPR) อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สวมใส่เพื่อการต่อท่อหายใจให้กับคนไข้ติดเชื้อรุนแรง ซึ่งคณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล สามารถผลิตได้ด้วยงบประมาณเพียง 2 พันบาท จากที่ต้องซื้อจากต่างประเทศในราคา 5 หมื่นบาท โดยมีจุดต่างเพียงแค่วัสดุคลุมหมวกที่เป็นผ้าใบ แต่คุณภาพการใช้งานไม่ต่างกัน

    รวมถึง ชุดป้องกันส่วนบุคคล PPE เป็นนวัตกรรมการผลิตชุดป้องกันจากเกรด 4 ขึ้นเป็นเกรด 5 หรือ Medical Grade ที่เปลี่ยนวัสดุจากไฟเบอร์ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มาเป็นพลาสติกสปันบอนด์ที่สามารถกันน้ำได้ โดยได้รับการทดสอบจากสถาบันบำราศนราดูรว่าสามารถใช้ได้ไม่ต่างจากชุดป้องกันเกรดโดยต้นทุนของการผลิตชุด PPE อยู่ในราวชุดละกว่า 100 บาท

    นวัตกรรมประเภทเตียง/ตู้ความดันลบ วสท. สร้างต้นแบบตู้ความดันลบ ให้ รพ. ลดเสี่ยงแพทย์พยาบาล

    วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) พัฒนานวัตกรรมต้นแบบตู้ความดันลบ (Negative Pressure Cabinet)” เพื่อใช้ครอบเตียงผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมุ่งใช้เป็นห้องอเนกประสงค์บรรเทาความแออัดในสถานพยาบาล และป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ใช้กับกลุ่มเสี่ยง การกักตัว และใช้ในบ้านสำหรับประชาชนทั่วไปด้วย โดยแบบมาตรฐานนี้หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนสามารถนำไปผลิตใช้เองได้

    ซึ่งตู้ความดันลบ ดังกล่าว ได้ออกแบบให้มีความปลอดภัยทางการแพทย์และหลักวิศวกรรม ในการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั้งใน และนอกสถานที่ โดยมี 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ตู้ความดันลบขนาดเล็ก สำหรับ 1 เตียง หรือคนไข้นั่ง 3 – 4 คน ขนาด 1.30 x 2.60 x 2.20 เมตร เพียงพอที่จะใส่เตียงคนไข้ และเสาน้ำเกลือ มีน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย ใช้เวลาในการติดตั้งเพียง 15 นาที ใช้ต้นทุนประมาณ 8,500 บาท หากต่อเป็น 2 ยูนิตโดยใช้เสากลางร่วมก็จะยิ่งลดต้นทุนให้ต่ำลงอีก

    ส่วนแบบที่ 2  ตู้ความดันลบขนาดใหญ่ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการดูแลรักษาผู้ป่วย  ขนาด 1.90 .x 2.60 .X สูง 2.20 . พร้อมพื้นที่ส่วนของแพทย์พยาบาลไว้ด้วย (Ante room) ด้านหน้าประตูเข้าห้องคนไข้ ขนาดความกว้าง 0.90 .x 2.60 .X สูง 2.20 เมตร ตามมาตรฐานความสะอาด ลมจะไหลจากด้านนอกเข้าไปที่ห้อง Ante และไหลเข้าห้องคนไข้ พัดลมจะนำอากาศจากห้องคนไข้ไปทิ้งนอกอาคาร ใช้ต้นทุนประมาณ 10,000 บาท

    ทั้งนี้ วสท. ได้ส่งมอบตู้ความดันลบ ทั้ง 2 แบบแก่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า และโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และจะส่งมอบให้โรงพยาบาลในสังกัดกองทัพพบก และโรงพยาบาลอื่นๆ ต่อไป

    ฮอนด้าไทย เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ ช่วยผลิตเตียงแรงดันลบ พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์รวม 40 ล้านบาท

    โดยโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้า .พระนครศรีอยุธยา ได้ระดมพนักงานจากสายการผลิตที่หยุดการประกอบรถยนต์ชั่วคราว จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อผลิตเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อแบบแรงดันลบ (Negative Pressure Mobile Bed) จำนวน 100 เตียง ภายใต้การควบคุมคุณภาพการผลิตของคณะแพทยศาสต์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

    ซึ่งคุณสมบัติของเตียงนี้จะสามารถช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ด้วยการควบคุมแรงดันอากาศให้เป็นลบ (Negative Pressure) ทำการดูดอากาศบริเวณที่นอนของผู้ป่วยผ่านการกรองเชื้อโรคระดับ HEPA Filter (High-efficiency Particulate Air Filter) แล้วปล่อยอากาศออกสู่ภายนอก

    นอกจากนี้ยังผนึกกำลังจิตอาสาพนักงาน และภาคส่วนต่างๆ อาทิ กรมราชทัณฑ์ เพื่อร่วมผลิตและส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลนอื่นๆ ให้โรงพยาบาล 48 แห่งทั่วประเทศ และจัดบริการรถพยาบาลกองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย จำนวน 10 คัน เพื่อใช้สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย

    คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ผุดตู้ความดันลบเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยติดเชื้อ ป้องกันไวรัสได้มากกว่า หน้ากาก N95 ถึง 1 พันเท่า

    ตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 เป็นทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้บุคลากรทางการแพทย์ในการเก็บสารคัดหลั่งต่างๆ จากคอหอย และโพรงจมูกของคนไข้มาตรวจ โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อโรคให้อยู่แต่เฉพาะในตู้นี้เท่านั้น สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อความสะดวกในการใช้งาน

    โดยวัสดุที่ใช้ทำตู้เป็นอะคริลิกหนา 15 มิลลิเมตร ซึ่งทนต่อน้ำยาฆ่าเชื้อ มีลักษณะใส สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ภายในตู้มีเครื่องดูดอากาศผ่าน HEPA Filter เกรดที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ ซึ่งสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กเท่าไวรัสได้ 99.995% โอกาสที่ไวรัสจะหลุดรอดจากฟิลเตอร์แทบจะเป็น 0% นอกจากนี้ยังมีการฆ่าเชื้อด้วยหลอด UV-C ทำให้ไวรัสหมดความสามารถในการก่อโรค เมื่อเทียบกับหน้ากาก N95 ที่สามารถกรองอนุภาคได้ขนาด 0.3 ไมครอน ตู้นี้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสมากกว่า 1 พันเท่า

    ซึ่งปัจจุบันได้มีการผลิตตู้มาใช้งานที่ รพ.จุฬาลงกรณ์แล้ว 8 เครื่อง จำนวนตู้ที่ผลิตทั้งหมด 50 เครื่อง ซึ่งจะใช้ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 10 เครื่อง ที่เหลือจะกระจายไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลยะลา โรงพยาบาลปัตตานี โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ศรีราชา ฯลฯ ค่าใช้จ่ายในการผลิตตู้ละ 100,000 บาท โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มบริษัท TCP ในส่วนของการออกแบบสร้างตู้สำหรับตรวจ COVID-19 ซึ่งหากมีผู้ที่สนใจต้องการจะนำไปผลิตหรือปรับปรุงเพื่อใช้งานทางการแพทย์ ก็สามารถนำไปใช้ต่อได้

    นวัตกรรมประเภทหุ่นยนต์ ทอ. ส่งหุ่นยนต์น้องถาดหลุมให้ รพ.ทอ.ดูแลผู้ป่วย COVID-19

    สำหรับหุ่นยนต์เพื่อการพยาบาลผู้ป่วย COVID-19 (RTAF Nursing Bot) หรือน้องถาดหลุมทีมงานวิจัยของโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล สามารถติดต่อสื่อสาร หรือสอบถามอาการกับผู้ป่วยได้สะดวกขึ้น โดยมีขีดความสามารถในการลำเลียงส่งอาหาร ยา เสื้อผ้า วัดปริมาณออกซิเจนในเลือดแก่ผู้ป่วย COVID-19 ควบคุมการเคลื่อนที่ด้วยการบังคับวิทยุไปยังเตียงผู้ป่วย ตรวจวัดอุณหภูมิอัตโนมัติ พร้อมการทำงานของระบบจดจำใบหน้า จากนั้นระบบจะบันทึกอุณหภูมิที่วัดได้ พร้อมวันเวลาที่ตรวจวัดลงบนภาพใบหน้าผู้ป่วย และนำไปเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูล ซึ่งแพทย์และพยาบาล สามารถเข้าดูทางโทรศัพท์มือถือได้ตลอดเวลา

    โดยน้องถาดหลุมจะถูกส่งมอบให้กับเจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ จำนวน 3 ตัว เพื่อมอบให้โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) นำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ต่อไป

    หุ่นยนต์ปิ่นโต “Pinto” ผู้ช่วยแพทย์ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19


    หุ่นยนต์ “Pinto” ปิ่นโต Quarantine Delivery robot เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยการนำรถเข็นส่งอาหารผู้ป่วย มาปรับระบบการควบคุมการเคลื่อนที่ โดยติดตั้งระบบสื่อสาร Quarantine Tele-presence สำหรับดูแลผู้ป่วยระยะไกลกับแพทย์ และพยาบาล โดยตั้งเป้าผลิตจำนวน 100 ชุดเพื่อมอบให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ


    ซึ่ง จุฬาฯ ได้ขอพระราชทานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายหุ่นยนต์ปิ่นโต แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ตามพระราชอัธยาศัย จำนวน 20 ตัว ที่ยังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการผลิต ซึ่งทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขอพระราชทานหุ่นยนต์ปิ่นโตจำนวน 1 ตัว สร้างเสร็จเรียบร้อยพร้อมใช้งานแล้ว นำไปติดตั้งที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย


    นอกจากนี้ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังพัฒนา และผลิตอุปกรณ์สนับสนุนการแพทย์ที่มีความจำเป็นสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโรคระบาดโควิด-19 เช่น เครื่องทดแทนเครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น

    ขณะที่โต้โผระดมพลังนักวิจัยสู้ภัยโควิด-19 อย่าง สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ทั้งยังเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางด้านวิชาการและวิจัย (RKEOC) ปฏิบัติภารกิจด้านข้อมูลทางวิชาการเชื่อมเข้ากับกลไกของกระทรวงสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก และหน่วยงานระดับนานาชาติ ทั้งเผยแพร่สถานการณ์ และองค์ความรู้กับประชาชน และร่วมกับกรมควบคุมโรคด้านการวิจัย ได้ระดมพลังนักวิจัยสู้ภัยโควิด-19 โดยจัดสรรงบประมาณ 250 ล้านบาท ดำเนินกิจกรรมทางวิชาการ 5 เรื่อง อาทิ อ่านรหัสพันธุกรรมติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อในไทย, พัฒนาแบบจำลองเพื่อคาดการณ์การระบาด, จัดทำชุดตรวจวินิจฉัย, พัฒนายาวัคซีน และจัดเวชภัณฑ์ระบบการจัดการ ตลอดจนประเมินผลมาตรการทั้งในเชิงนโยบายและทางปฏิบัติ มุ่งหาแนวทางแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

    .นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีข้อมูลทางวิชาการเพิ่มขึ้นถึง 5,000 เรื่องจากทั่วโลกที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ซึ่งศูนย์ฯ มีหน้าที่วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้น และคัดสรรข้อมูลส่วนที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ประเทศไทยมีข้อมูลที่จะพร้อมใช้ แต่ก็ยังมีความรู้บางประการที่ประเทศไทยต้องการซึ่งหาไม่ได้เลยจากแหล่งข้อมูล จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

    นี่เป็นเพียงแค่ผลงานบางส่วนที่ BLT Bangkok รวบรวมมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ไม่ทอดทิ้งกันในยามเกิดวิกฤติ และยังทำให้เราได้เห็นถึงความรู้ความสามารถด้านนวัตกรรมของคนไทยที่คิดค้นเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริม และสนับสนุนให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหล่านี้ได้รับโอกาสในการแสดงผลงาน หรือศึกษาเพื่มเติม เพื่อสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้อีกในอนาคต