Tuesday, December 6, 2022
More

    เปิดแผนแม่บทจัดการน้ำ ลดวิกฤตภัยแล้ง ตั้งเป้าลดการใช้น้ำ ภายในปี 2570

    สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์น้ำของประเทศ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ แนวทางการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเพิ่มมูลค่า และประเด็นวิจัยที่จะตอบสนองยุทธศาสตร์น้ำ

    โดย นายสราวุธ ชีวะประเสริฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เปิดเผยว่า แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาในอดีต แม้จะมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายเรื่องที่ยังต้องมีการปรับปรุงแก้ไข คือ เรื่องของฐานข้อมูล และการขาดการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน


    โดยเฉพาะข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ ไม่เพียงพอในการกำหนดเป้าหมายเชิงพื้นที่ หรือเชิงปริมาณ อีกทั้งบางหน่วยงานไม่มีแผน และทิศทางที่ชัดเจน ทำให้แผนงานเดิมไม่ตอบสนองนโยบายประเทศ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการประเมินผลหรือตัวชี้วัดไม่ชัดเจน รวมถึงขาดการสื่อสารทำความเข้าใจต่อแผนแม่บท


    สำหรับข้อมูลแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ที่สอดคลอ้งกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเป้าหมาย 6 ด้านด้วยกัน คือ
    1. ด้านการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค โดยกำหนดว่าประปาหมู่บ้านจะต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานให้ได้ภายในปี 2573 (SDGs) ขยายเขตประปา สำรองน้ำต้นทุนเพื่อรองรับเมืองหลัก เมืองท่องเที่ยว หรือพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อีกทั้งการใช้น้ำต่อประชากรต้องไม่เพิ่มขึ้นและมีอัตราลดลงภายในปี 2570

    2. ด้านการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต โดยการจัดการด้านความต้องการน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพโครงการแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำเดิม พัฒนาแหล่งกักน้ำและระบบส่งน้ำใหม่ พัฒนาระบบผันน้ำ และระบบเชื่อมโยงแหล่งน้ำเพิ่มน้ำต้นทุน จัดหาน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน ลดความเสี่ยงในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพหรือความเสียหายในพื้นที่วิกฤตร้อยละ50 ซึ่งพื้นที่ในส่วนนี้ยังไม่สามารถแยกแยะพื้นที่ได้ รวมถึงการเพิ่มผลิตภาพและปรับโครงสร้างการใช้น้ำ การประหยัดน้ำในภาคอุตสาหกรรม การจัดการในพื้นที่พิเศษ และเร่งรัดการเตรียมความพร้อมโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ

    3. ด้านการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ มีการปรับปรุงการระบายน้ำและสิ่งกีดขวางทางน้ำ จัดทำผังลุ่มน้ำและบังคับใช้ในผังเมืองรวมและจังหวัดทุกลุ่มน้ำ ป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง 764 เมือง โดยมีผังน้ำบังคับใช้ทุกจังหวัด การบรรเทาอุทกภัยระดับลุ่มน้ำและพื้นที่วิกฤต ลดความเสี่ยงและความรุนแรงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ60 การจัดการพื้นที่น้ำท่วมและพื้นที่ชะลอน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการปรับตัวและเผชิญเหตุในพื้นที่น้ำท่วมร้อยละ75

    4. ด้านการจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ป้องกันและลดการเกิดน้ำเสียที่ต้นทาง เพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดและควบคุมการระบายยน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม พัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ จัดสรรน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ  อนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติ

    5. ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำ มุ่งเน้นฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรม จำนวน 3.5 ล้านไร่ ป้องกันการเกิดการชะล้างและการพังทลายของดินในพื้นที่เกษตรลาดชันชั้นที่ 1,2 จำนวน 1.45 ล้านไร่ และชั้น 3,4,5 จำนวน 22 ล้านไร่

    6. ด้านการบริหารจัดการ โดยการปรับปรุงกฎหมายน้ำและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย จัดตั้งองค์กรด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต พร้อมทั้งการติดตามและประเมินผล แผนการจัดสรรน้ำ พัฒนาระบบฐานข้อมูล ศึกษาวิจัยและพัฒนาแนวทางการจัดการน้ำเพื่ออุดช่องว่างการดำเนินงาน เตรียมความพร้อม ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ และการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน


    ทั้งนี้นายสราวุธ ชีวะประเสริฐ ระบุว่า การดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ยังมีปัญหา และความท้าทายอยู่อีกมากโดยเฉพาะแนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทว่าทำอย่างไรให้การดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งเรื่องการประเมินความมั่นคงด้านน้ำภายใต้กรอบ AWDO ซึ่งเป็นกรอบระดับนานาชาติที่ไทยนำมาประยุกต์ใช้ หรือเรื่องการประหยัดน้ำ เพราะขณะนี้มีที่เสนอไว้เพียงกิจกรรมเดียวซึ่งยังไม่เพียงพอที่เราจะลดปริมาณการใช้น้ำลงได้ เพื่อให้มีน้ำประปาเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในอีก 5 -10 ปีข้างหน้า รวมถึงประเด็นที่ยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไข แต่ทิศทางเริ่มดีขึ้น และคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 1-2 ปี

    ทางด้าน รศ.ดร.สุจริต คุณธนกุลวงศ์ นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีความมุ่งมั่นในแก้ไข แต่ยังคงมีอีกหลายปัญหาที่รออยู่ จึงต้อมีการวางเป้าหมายแผนแม่บทฯ เพื่อแก้ปัญหาและสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต ภายใต้การบริหารจัดกาน้ำในหลายมิติ และหลายระดับ ทั้งในส่วนของการซ่อม สร้าง และการพัฒนาที่ต้องก้าวกระโดด

    เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการลดการใช้น้ำในปี 2570 และการเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กับการเตรียมความพร้อมทั้งคน วิชาการ ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร และการปรับตัว ตลอดจนสร้างแพลตฟอร์มการทดลองใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน ตัวอย่างเช่น การวิจัยเชิงปฏิบัตการ spearhead project หรือโครงการวิจัยเข็มมุ่งด้านการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงเทคโนโลยี 5G ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการเรื่องน้ำ


    ขณะเดียวกัน ดร.ปิยธิดา เรืองรัศมี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการวิเคราะห์สถานะของความมั่นคงด้านน้ำผลิตภาพจากน้ำและภัยพิบัติ กล่าวว่า แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในประเด็นที่ 19 ประเด็นการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ได้มีการเสนอเป้าหมายตัวชี้วัดและแนวทางพัฒนาด้วยแผนย่อย 3 แผน ประกอบด้วย
    1.แผนย่อยพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบ เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ
    2.แผนย่อยเพิ่มผลิตภาพของน้ำทั้งระบบในการใช้น้ำอย่างประหยัด รู้คุณค่าและสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้น้ำให้ทัดเทียมกับระดับสากล
    3.แผนย่อยอนุรักษ์ และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลอง และแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ

    โดยมีการกำหนดตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายทุกช่วง 5 ปี ในช่วงปี พ.ศ.2561-2580 ของการเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ การเพิ่มผลิตภาพของน้ำ และการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ


    สำหรับแนวทางการประเมินความมั่นคงด้านน้ำของไทยในระดับจังหวัด และระดับลุ่มน้ำ ที่ได้มีการศึกษาเบื้องต้นภายใต้กรอบ Asian Water Development Outlook (AWDO) 2016 มีการประเมินใน 5 ด้านด้วยกัน ได้แก่
    1.ความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค
    2.ความมั่นคงน้ำเพื่อเศรษฐกิจ โดยการใช้ทรัพยากรน้ำในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคพลังงาน
    3.ความมั่นคงน้ำสำหรับเมือง
    4.ความมั่นคงน้ำด้านสิ่งแวดล้อม
    5.ความมั่นคงน้ำด้านการฟื้นตัวจากภัยพิบัติจากน้ำ

    ซึ่งจากผลการศึกษาในระดับประเทศ พบว่าคะแนนการประเมินของไทยอยู่ใน “ระดับปานกลาง” โดยความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค แยกประเมินเป็นพื้นที่นอกเขตเทศบาล(ชนบท) และพื้นที่ในเขตเทศบาล (เมือง) พบว่า ระบบประปาหมู่บ้านมีการเข้าถึงเกือบครบทุกหมู่บ้าน แต่ปัญหาเรื่องของคุณภาพน้ำ และปัญหาเรื่องการบำรุงรักษาระบบประปา รวมถึงปัญหาการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย ยังเป็นเรื่องสำคัญเพราะประเทศไทยยังไม่มีการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียภาคครัวเรือน

    นอกจากนี้ ในด้านการเพิ่มผลิตภาพของการใช้น้ำภาคเกษตร ควรจะประเมินผลิตภาพการใช้น้ำในแง่ของประสิทธิภาพ (Efficiency) ควรพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการปลูกข้าว พัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพสูง ทั้งนี้ได้เสนอดัชนีชี้วัดเพิ่มเติม อาทิ การใช้น้ำเพื่อการท่องเที่ยว การพิจารณาปริมาณน้ำที่มาจากแม่น้ำระหว่างประเทศ ความขัดแย้งของการใช้น้ำ และมิติทางสังคม ฯลฯ