Thursday, October 5, 2023
More

    โรดแมปเลิกใช้พลาสติก 7 ชนิด ในปี 2025 อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ทดแทนราคาสูงขึ้น 1 เท่าตัว

    ขยะพลาสติกในไทยมีประมาณปีละมากกว่า 2 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบครึ่งเป็นขยะที่ถูกทิ้งลงสู่ทะเล และทิ้งมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก ส่งผลให้รัฐบาลออกมาตรการลด และยกเลิกการใช้พลาสติก เพื่อลดปริมาณขยะภายในประเทศ แต่ก็อาจส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาดสูงขึ้น จากการเปลี่ยนไปของบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

    ขยะพลาสติกถูกทิ้งลงสู่แหล่งน้ำทั่วโลกปีละประมาณ 8 ล้านตัน โดยไทยติดอันดับ 6 ของประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก ซึ่ง Ocean Conservancy องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ศึกษาเรื่องการรักษาทรัพยากรทางทะเลคาดการณ์ว่า ขณะนี้มีขยะพลาสติกไหลเวียนอยู่ในมหาสมุทร ทะเล และแหล่งน้ำทั่วโลกถึงกว่า 150 ล้านตัน สะสมต่อเนื่องจากปี 1950 ซึ่งปริมาณขยะดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก จากการจัดการขยะมูลฝอยที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ และอัตราการนำพลาสติกไปรีไซเคิลที่ต่ำ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เป็นผลให้ขยะพลาสติกจำนวนมากไหลลงแหล่งน้ำ ออกสู่ทะเลและมหาสมุทรในที่สุด 


    สำหรับประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่า ขยะพลาสติกในไทยมีประมาณปีละมากกว่า 2 ล้านตัน คิดเป็น 12% ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมด ถึงแม้ว่าบางส่วนจะถูกกำจัดหรือนำกลับไปใช้ประโยชน์ แต่ก็มีอีกราว 1 ล้านตันที่ถูกทิ้งลงสู่ทะเล 

    ซึ่งจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยจอร์เจียในปี 2015 พบว่าประเทศไทยจัดเป็นอันดับ 6 ที่ทิ้งขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุดรองจาก จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และศรีลังกา ซึ่งขยะพลาสติกของไทยที่พบได้มากที่สุดในทะเล ได้แก่ ถุง(13%) หลอด(10%) ฝาพลาสติก(8%) และภาชนะบรระจุอาหาร(8%)


    รัฐบาลไทยตั้งเป้าเลิกใช้พลาสติก 7 ชนิด ภายในปี 2025
    เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว รัฐบาลไทยจึงกำหนดเป้าหมายยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งจำนวน 7 ชนิดภายในปี 2025 ซึ่งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกได้พิจารณาแผนปฏิบัติการลดและเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง (single-use plastic) จำนวน 7 ชนิด โดยวางเป้าหมายเป็นช่วงเวลา ระหว่างปี 2019-2025 ดังนี้ คือ ยกเลิกปี 2019 ประกอบด้วย
    1. Cap seal ฝาน้ำดื่ม โดยปกติจะผลิตจากพลาสติก PVC ฟิล์ม  
    2. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารประเภท OXO ส่วนใหญ่มักจะผสมในพลาสติกประเภท HDPE และ LDPE 
    3. Microbead จากพลาสติก 

    ส่วนผลิตภัณฑ์ที่จะยกเลิกปี 2022 ประกอบด้วย 
    4. ถุงพลาสติกหูหิ้ว ขนาดความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติก LLDPE  
    5. กล่องโฟมบรรจุอาหาร 

    ในส่วนของพลาสติกที่จะยกเลิกในปี 2025 ได้แก่ 
    6. แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 
    7. หลอดพลาสติก 

    ซึ่งทั้งกล่องโฟม แก้ว และหลอดพลาสติกบางส่วน ส่วนใหญ่จะผลิตจากพลาสติกประเภท polystyrene


    ภาคเอกชนไทย เริ่มยกเลิกการใช้พลาสติกแล้วตั้งแต่ปี 2018
    ในขณะที่ ภาคเอกชนไทยบางส่วนได้เริ่มยกเลิกการใช้พลาสติกแล้ว อาทิ เครือ Anatara ที่เริ่มยกเลิกการใช้หลอดพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2018 เป็นต้นไป ตามนโยบายลดขยะพลาสติกของโรงแรม นอกจากนี้ร้านกาแฟ Starbucks ได้ประกาศเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2018 ว่าจะเลิกใช้หลอดพลาสติกของในทุกสาขาภายในปี 2020

    ความต้องการ LLDPE  ของโลก มีแนวโน้มลดลง เมื่อเทรนด์การใช้พลาสติกเปลี่ยนไป
    จากการกำหนดเป้าหมายยกเลิกการใช้พลาสติกทั้ง 7 ชนิด พลาสติก LLDPE จะได้รับผลกระทบมากที่สุด  เนื่องจากถูกนำไปผลิตเป็นถุงพลาสติก และฟิล์มสำหรับบรรจุภัณฑ์กว่า 55% ของการนำ LLDPE ไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด

    นอกจากนี้ LLDPE ยังเก็บเข้าสู่ระบบจัดการขยะยาก เพราะ LLDPE เป็นพลาสติกประเภทฟิล์มที่มีความอ่อนตัว เป็นอุปสรรคต่อการกำจัด เนื่องจากพลาสติกอ่อนนี้สามารถเข้าไปติดอยู่ในล้อ และเกียร์ได้ ส่งผลเสียต่อเครื่องจักรสำหรับคัดแยกขวดกระป๋อง และกระดาษในโรงงานแยกขยะ อีกทั้งยังยากต่อการนำกลับมาผลิตใหม่ เนื่องจากการนำไปใช้ครั้งแรกจะมีการพิมพ์ข้อมูลผลิตภัณฑ์และโลโก้บนบรรจุภัณฑ์ 

    ซึ่งจากนโยบายลด และยกเลิกการใช้พลาสติกของไทย รวมถึงของต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป จีน และออสเตรเลีย คาดว่าจะส่งผลให้ความต้องการใช้พลาสติก LLDPE มีแนวโน้มขยายตัวช้าลงจากที่เคยเติบโตราว 5% ต่อปี ระหว่างปี 2010-2017 เหลือเพียง 1% ต่อปี ต้นทุนการผลิตพลาสติก จะมีแนวโน้มสูงขึ้น 1 เท่าตัว
    เนื่องจากผู้ประกอบการต้องหาวัตถุดิบชนิดใหม่มาใช้ทดแทนพลาสติกของเดิมที่ถูกยกเลิกไป โดยจำเป็นต้องใช้งานได้เทียบเคียงวัสดุเดิม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีต้นทุนสูงขึ้นด้วย เช่น ต้นทุนการผลิตหลอดพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้เองจะสูงกว่าต้นทุนหลอดพลาสติกแบบดั้งเดิมอยู่ราว 1 เท่า 

    ซึ่งนอกจากต้นทุนวัตถุดิบแล้ว ผู้ผลิตอาจต้องลงทุนในด้าน R&D เพื่อพัฒนาวัสดุที่เหมาะกับการใช้งานของผลิตภัณฑ์ หรือบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการจะผลิตเอง อีกทั้งอาจต้องลงทุนในด้านการสื่อสารทางการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์ถึงคุณสมบัติโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์อีกด้วย

    การห้ามใช้ single-use plastic ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการรีไซเคิลพลาสติกประเภท PET 
    เพราะเป็นพลาสติกประเภทนำมาผลิตใหม่ได้ (re-material) เช่น พลาสติกประเภท PET ที่นำไปผลิตขวดน้ำดื่มพลาสติก สามารถนำไปผ่านกระบวนการ Depolymerization เพื่อให้แตกตัวเป็นโครงสร้างพื้นฐานหรือ monomer ซึ่งสามารถนำมาผลิตเป็น polymer เพื่อสร้างเป็นพลาสติกใหม่ได้ หรือที่เรียกกระบวนการนี้ว่า Repolymerization 

    โดยกระบวนการดังกล่าวจะทำให้ขวดน้ำพลาสติกถูกนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อีกเป็น 100 ครั้ง การเก็บพลาสติกชนิดดังกล่าวกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ หรือการนำมาใช้ซ้ำ จึงสร้างโอกาสให้ทั้งผู้ผลิตพลาสติกPET รวมถึงธุรกิจรีไซเคิลพลาสติก PET ดังจะเห็นได้จากบริษัท Loop Industry, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่มีความชำนาญด้านการรีไซเคิลพลาสติก PET โดยมีนวัตกรรมของตัวเองในการผลิตพลาสติกโพรีเอสเตอร์เรซินที่มีความบริสุทธิ์สูงพอที่จะนำไปใช้ทำบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร ทั้งนี้ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส ผู้ผลิตพลาสติกรายใหญ่ของโลก ได้ร่วมหุ้นกับบริษัทดังกล่าวผ่านบริษัทย่อยของตนในสหรัฐฯ เพื่อตั้งบริษัท Indorama Loop Technologies, LLC โดยคาดว่าจะนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาผลิตบรรจุภัณฑ์ให้แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลกได้ราวไตรมาสแรกของปี 2020ราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้น จากการเปลี่ยนไปผลิตบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม 
    อีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในมุมมองของอีไอซี ผู้ประกอบการควรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการผลิตพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น bioplastic และเจาะตลาดบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุอื่นทดแทนพลาสติก ปัจจุบันมีพลาสติกเพียงประเภทเดียวที่สามารถนำกลับมา re-material ใหม่ได้ คือ PET ส่วนพลาสติกประเภทอื่นยังไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ดีเท่า PET ทำให้ผู้ผลิตปิโตรเคมีย่อมได้รับผลกระทบจากเทรนด์ และมาตรการยกเลิกการใช้พลาสติก 

    จึงนับว่าเรื่องนี้เป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการจะต้องหาวัตถุดิบเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่น bioplastic ที่ทำมาจากอ้อย และมันสำปะหลัง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขึ้นรูปพลาสติกเพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์ ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนที่อาจเพิ่มสูงขึ้น 1 เท่าเป็นอย่างน้อย จากการเปลี่ยนไปผลิตบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม 

    ทั้งนี้ต้นทุนที่สูงขึ้นอาจส่งผ่านไปยังผู้ซื้อได้บ้าง เช่น ผู้ซื้อในกลุ่มร้านอาหารที่ใช้หลอด กล่องใส่อาหารพลาสติก หรือร้านค้าปลีกที่ใช้ถุงพลาสติก ซึ่งจะต้องรับมือกับราคาของบรรจุภัณฑ์จากวัสดุใหม่ที่สูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตแบบ non-plastic เช่น กระดาษ ข้าว สามารถหาช่องทางในการเจาะเข้าสู่ตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารได้ เช่น ถุงกระดาษใส่น้ำตาล หลอดที่ทำจากข้าวหรือกระดาษ เป็นต้น