Tuesday, December 6, 2022
More

    ภัยแล้งหน้าฝน ผลจากเอลนีโญ่ กระทบเศรษฐกิจกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท เสี่ยงเกิดซ้ำปลายปี 62

    แม้ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2562 ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา แต่โดยภาพรวมแล้วปริมาณน้ำฝนก็ยังอยู่ในระดับตำ่ เนื่องจากอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน (Weak El Nino) ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งประเทศยังคงสูงกว่าค่าปกติราว 1-2 องศาเซลเซียส และทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงราว 2 เดือน ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2562

    นับเป็นสถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูกาล (ภัยแล้งช่วงหน้าฝน) ที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 10 และทำให้ระดับนำ้ในเขื่อนอยู่ในระดับต่ำ พิจารณาได้จากปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนของไทย แยกตามรายภาค ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2562 มีปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนทั้งประเทศลดลงร้อยละ 48.5 (YoY)  โดยเฉพาะในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อยู่ในขั้นวิกฤติกระทบต่อการขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร



    นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า สถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูดังกล่าว จะเป็นภาวะแห้งแล้งเช่นนี้ ที่มีฝนทิ้งช่วงและภาวะฝนน้อย น้ำน้อย ไปจนถึงสิ้นปี 2562 อีกด้วย

    ซึ่งจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า ภัยแล้งนอกฤดูกาลครั้งนี้ที่ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และภาวะฝนน้อยน้ำน้อย ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2562 ได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น มูลค่าไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประเมินความเสียหายของข้าวนาปีเป็นหลักในเบื้องต้น ซึ่งหากรวมผลเสียหายขอพืชเศรษฐกิจอื่นด้วย อาจทำให้มีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่าท่ีประเมินไว้ และทั้งยังเป็นการซ้ำเติมรายได้เกษตรกรให้แย่ลงไปอีก

    จึงต้องติดตามสถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูกาลท่ีอาจลากยาวต่อเนื่องได้อีก จากอิทธิพลของปรากฎการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอีกในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2562 ซึ่งอาจกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปีที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562


    ดังนั้น คงต้องมีการติดตามระยะเวลา แลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะ และอาจต้องมีการทบทวนตัวเลขความเสียหายตามความเหมาะสมในระยะต่อไป รวมถึงต้องติดตามสภาพภูมิอากาศในช่วงระยะข้างหน้า เนื่องจากความรุนแรงของภัยแล้งอาจมีระดับไม่เท่ากันในแต่ละเดือน

    อย่างไรก็ตามสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2562 ที่ลากยาวเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อน ซึ่งจะใช้เป็นน้ำเพื่อทำการเกษตรในฤดูแล้งถัดไปในปี 2563 (พฤศจิกายน 2562-เมษายน 2563) โดยจะกระทบต่อพืชเกษตรหลักที่มีฤดูกาลเก็บเก่ียวในช่วงฤดูแล้งที่สำคัญ คือ ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง และอ้อย ก็จะยิ่งทำให้ตัวเลขมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจมีความเสียหายต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563 และกระทบรายได้เกษตรกรให้ยังคงลำบากต่อเนื่องไปอีก

    รวมถึงในระดับภูมิภาค จะยังส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อคนในพื้นที่ และจะยิ่งเป็นการฉุดกำลังซื้อครัวเรือนภาคเกษตร การมีงานทำ รวมทั้งปัญหาในภาคธุรกิจ SMEs อีกด้วย