ปี 2562 ตลาดเครื่องสำอางไทยมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท เติบโต 5% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเป็ํนผู้นำตลาดเครื่องสำอางแห่งเอเชีย ชวนคุยกับผู้บริหารหนุ่มไฟแรง แก๊ป-พงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล แห่งบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้ปลุกปั้นแบรนด์เครื่องสำอางไทยดังไกลไปทั่วโลก
ชีวิตก่อนมาทำแบรนด์เครื่องสำอาง
ผมจบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเดิมทีครอบครัวประกอบธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้บริษัทขาดทุนเป็น 1,000 ล้านบาท จึงเปลี่ยนมาทำธุรกิจอื่นๆ ทั้งทำรถบัส ธุรกิจอาหารแช่เย็น ชุดชั้นใน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนในที่สุดก็มาลงตัวที่ธุรกิจสกินแคร์ เพราะเมื่อลองนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางจากต่างประเทศเข้ามาขาย ก็พบว่าสามารถสร้างผลกำไรได้มาก อย่างครั้งแรกที่ลงทุนไป 50,000 บาท ภายในวันเดียวผมขายได้คืนมา 30,000 บาท นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำธุรกิจด้านนี้
จากผู้นำเข้าสู่สร้างแบรนด์ของตัวเอง
เราเริ่มต้นจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอางแบรนด์ต่างๆ จากเอเชีย โดยมากเป็นแบรนด์จากประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และจีน สินค้าของเรามีต้นทุนต่ำ เพราะไม่ได้ทำการโปรโมท แต่เราเลือกนำสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาจำหน่าย ทำให้ราคาสู้กับคู่แข่งต่างๆ ได้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือ ลูกค้าจะได้สินค้าคุณภาพกลับไป โดยตั้งชื่อร้านว่า Karmart Shop หลังจากนั้น 1-2 ปี เราก็เริ่มทำแบรนด์ของตัวบ้าง โดยแบรนด์แรกคือ Cathy Doll ซึ่งปัจจุบันเรามีแบรนด์แล้วมากกว่า 10 แบรนด์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภค ตั้งแต่สกินแคร์ เครื่องสำอาง น้ำหอม ครีมพอกผิว ฯลฯ โดยผลิตภัณฑ์ของเราส่งออกไปแล้วกว่า 13 ประเทศ
ความแตกต่างของเครื่องสำอางจาก Karmart กับแบรนด์อื่นๆ
จุดเด่นของเราคือเรื่องของนวัตกรรมทางด้านความงาม เราไม่ได้มองแค่เรื่องสีสัน หรือ Texture แต่มองในเรื่องของวิธีการใช้งาน เรื่องกระบวนการของสินค้า คอนเซ็ปต์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การแก้ไขจุดบกพร่องในพวกจุดซ่อนเร้นต่างๆ อย่างครีมบำรุงยอดปทุมถัน บางคนอาจจะคิดไม่ถึง บางคนไม่คิดว่ามีผู้หญิงหลายคนจะมีปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในบางเวลา เราจึงพยายามจะช่วยเหลือเขาตรงจุดนั้น หรือเรื่องผิวขาว ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกๆ ที่มีครีมทาตัวขาว เพราะหลายๆ แบรนด์จะโฟกัสไปที่หน้าขาว แต่ยังไม่มีใครทำครีมผิวขาวออกมา รวมถึง CC Cream ที่เราเป็นเจ้าแรกในเมืองไทยที่ทำ เรียกว่าเราเป็น First Leader ในหลายๆ ผลิตภัณฑ์เลยก็ว่าได้
มองตลาดเครื่องสำอางในประเทศเป็นอย่างไร
ตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่มีความใหญ่เป็นอันดับต้นทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่สามารถนำพาแบรนด์ไปสู่ความสำเร็จได้คือการจับจุดเด่นตัวเองให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด คือตัวสินค้าต้องมีนวัตกรรมและคงคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจน รวมถึงต้องตามเทรนด์ใหม่ๆ จับกระแสขอโลกอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ แบรนด์ที่ดีควรมีสินค้าหลายขนาด หลายรูปแบบไม่จำเจ ให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกหลากหลายในราคาที่เอื้อมถึง ที่สำคัญควรรู้จักประเทศคู่ค้าให้ดี อาทิ ทำความเข้าใจด้านกฎหมายการค้า กระบวนการภาษี การขนส่ง ราคาที่เหมาะสม และมีการส่งเสริมการตลาดที่ดี อย่างด้านโปรโมชั่นหรือสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะประเทศนั้นๆ เป็นต้น
สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของโลก
ชาติไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งนี่เป็นจุดแข็งทำให้ตลาดเครื่องสำอางไทยไปรอด ตลาดนี้ช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมในประเทศมีการขับเคลื่อน และดึงเอาเม็ดเงินจากต่างชาติให้ไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น ทั้งยังเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเติบโตแข่งขันกับผู้เล่นเก่าและผู้เล่นต่างชาติได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ที่สินค้า Made in Thailand Products มีความต้องการซื้อพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง
ส่วนตัวผมยังไม่คิดว่าประสบความสำเร็จ เพราะเชื่อว่าถ้าวันใดที่เราคิดว่าเราประสบความสำเร็จขึ้นมา เราจะอยู่นิ่งทันที ซึ่งจุดที่ประสบความสำเร็จของเรามันยังอีกไกล ตอนนี้ยังเป็นแค่ระหว่างทางที่เราก้าวถึงจุดที่จะประสบความสำเร็จ คิดแค่ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้น เพราะฉะนั้นผมยังต้องไปอีกไกลกว่านี้ถึงจะพบกับคำว่าประสบความสำเร็จ