Thursday, May 25, 2023
More

    คมนาคมสั่งเดินหน้านโยบายเพิ่มสปีดรถ 120 กม./ชม. พร้อมจัดโซนรถบรรทุกวิ่งในกรุงเทพฯ 4 ชม./วัน

    นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานแปรนโยบายเร่งด่วนไปสู่การปฏิบัติของกระทรวงคมนาคมว่า ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทางหลวง(ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใน 2 ประเด็น คือ การกำหนดความเร็วบนถนนสายหลักไม่เกิน 120 กม./ชม. และการปรับเวลาห้ามรถบรรทุกวิ่งในเมืองในช่วงเวลากลางวัน

    โดยได้มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลเพิ่มเติม ภายใน 1 เดือน เพื่อประชุมร่วมกันอีกครั้ง จากนั้นจะสรุปเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อออกเป็นกฎหมาย และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่อไป


    สำหรับ การกำหนดความเร็วบนถนนสายหลักไม่เกิน 120 กม./ชม. ที่ประชุมได้มีมติ ให้มีการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ.พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 ซึ่งทั้ง 2 ฉบับ กำหนดอัตราความเร็วสูงสุดในการขับขี่แตกต่างกัน ให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันก่อน


    เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบถนนมีทั้งหมด 15 ประเภท และกำหนดความเร็วสูงสุดในการขับขี่รถตามประเภทของถนน ไม่ใช่มิติของพื้นที่ เช่น ถนนขนาด 4 ช่องจราจรขึ้นไปที่มีการแบ่งทิศทางจราจรแยกออกจากกัน โดยมีเกาะกลางหรือกำแพงกั้น สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. และถนนที่มีช่องจราจร 4 ช่องจราจรหรือน้อยกว่า ที่แบ่งทิศทางแยกออกจากกันด้วยเส้นสีหรือเกาะสี สามารถใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 90 กม./ชม. เป็นต้น

    ซึ่งในเบื้องต้น ระหว่างการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กระทรวงคมนาคมสามารถออกกฎกระทรวงฯ เพื่อใช้สำหรับเส้นทางที่มีความพร้อม หรือเส้นทางสายหลักที่สามารถใช้ความเร็วรถได้สูงสุด 120 กม./ชม. ได้ก่อน

    อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน และยึดหลักการจัดระเบียบความเร็วของแต่ละช่องจราจร รวมถึงถนนในชุมชนที่ต้องลดความเร็วด้วย ซึ่งได้มอบให้ ทล. และ ทช. ไปศึกษาเพิ่มเติม พร้อมให้ทำการปรับปรุงป้ายบอกความเร็วให้มีขนาดใหญ่ขึ้น มองเห็นได้ชัดเจน หรือพิจารณาใช้ป้ายแบบ VMS (Variable Message Sigh) และพิจารณาวางแท่งแบริเออร์แทนเกาะกลาง เพื่อให้รถสามารถใช้ความเร็วได้ เนื่องจากมีพื้นที่ผิวจราจรเพิ่มขึ้น และให้ใช้แบร์ริเออร์ที่มีส่วนผสมจากยางพารา และในอนาคตให้พิจารณาออกแบบถนนโดยใช้แท่งแบริเออร์แทนเกาะกลางตามความเหมาะสม

    ส่วนการจำกัดเวลาห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งในเขต กทม.และปริมณฑล กำหนดให้ใช้ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก และตะวันออกเป็นตัวแบ่งเขตพื้นที่ โดยพื้นที่นอกเขตถนนวงแหวนฯ และบนถนนวงแหวนรอบนอกฯ และทางพิเศษ ให้รถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไป วิ่งได้ช่วงเวลา 21.00 – 06.00 น. (รวม 9 ชม.) ส่วนถนนภายในเขตพื้นที่วงแหวนรอบนอกฯ ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งได้ช่วงเวลา 00.00 – 04.00 น. (รวม 4 ชม.) จากเดิมที่อนุญาตให้รถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้ในเวลา 10.00 – 15.00 น. และช่วง 21.00 – 06.00 น.


    นอกจากนี้พื้นที่ภายในวงแหวนรอบนอกฯ อนุญาตให้วิ่งได้ในเวลา 21.00 – 06.00 น. น. และในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการอนุญาตให้วิ่งได้ในเวลา 10.00 – 16.00 น. และช่วง 20.00 – 06.00 น., นนทบุรี/ปทุมธานี 09.00 -16.00 น. และช่วง 19.00 น.-06.00 น.

    สำหรับรถที่จะได้รับการยกเว้น ได้แก่ รถผสมปูนในการก่อสร้าง รถบรรทุกเชื้อเพลิง รถบรรทุกสินค้าเน่าเสียง่าย เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ให้ไปหาแนวทางในการปรับขนาดรถบรรทุก จากขนาดใหญ่ 10 ล้อ เป็นรถบรรทุกขนาดเล็ก 6 ล้อ เพื่อใช้วิ่งทดแทนกัน โดยได้มอบหมายให้ ขบ. และ สนข. ศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบผลดีและผลเสีย และแนวทางการลดภาระต้นทุนรวมถึงการเยียวยาผู้ประกอบการที่ต้องเปลี่ยนขนาดรถให้เล็กลงด้วย

    ทั้งนี้ ปัจจุบันมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ ในพื้นที่ กทม. ประมาณ 50,000 คัน/วัน หากดำเนินการได้ รถบรรทุกขนาดใหญ่จะหายไปทันที และจะทำให้การจราจรในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล มีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดินทางสะดวกรวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย

    นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังระบุว่า การแก้ปัญหาจราจรใน กทม. ต้องกล้าทำ กล้าตัดสินใจ และเป็นแนวทางที่เมืองใหญ่ๆ ในโลก ดำเนินการกันอยู่ ซึ่งให้ไปดูว่าผู้ประกอบการได้รับผลกระทบอย่างไร หรือมีต้นทุนเพิ่มตรงไหน เพื่อหาทางเยียวยาไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน แต่เชื่อว่าหากบริหารจัดการดี จะไม่มีผลกระทบ เพราะการกำหนดเวลาวิ่งในเขตเมือง เที่ยงคืน – ตี 4 ชัดเจน สามารถบริหารจัดการให้สอดคล้องกับเวลาที่กำหนด ซึ่งในอดีตให้เวลารถใหญ่วิ่งในเมืองค่อนข้างมาก ทำให้รถติดมาก