เหลือบไปเห็นข่าวดีแห่งวงการสงฆ์ไทยที่ไปสร้างชื่ออยู่ในต่างแดนแล้วก็อยากจะให้คนไทยเราได้ร่วมโมทนาบุญด้วยจริงๆ
โดย “พระอัครเดช อตฺตเตโช” วัดสันตยาราม ณ วัดพุทธางกูร โอลิมเปีย วอชิงตัน ได้โพสต์ข้อความที่แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่และความเจริญของพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2562 ดังนี้ครับ
“วันนี้ (4 มีนาคม 2562) พระอาจารย์รัศมี เจ้าอาวาสวัดพุทธางเมืองโอลิมเปีย, วัดอริยมรรคจากรัฐออริกอน พระอาจารย์วูดดี้, วัดวอชิงตันพุทธวนาราม พระอาจาย์เผด็จศักดิ์, พระอาจารย์นิพนธ์ เกาะบาหลี พร้อมด้วยคณะพระภิกษุสงฆ์ ได้รับนิมนต์ไปเจริญพระพุทธมนต์ อวยพร แผ่เมตตา และให้ขอคิดแนวทางในการดำเนินชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ (ความสงบร่มเย็น สันติสุขในการประพฤติปฎิบัติิชีวิต) ให้แก่บรรดาคณะสมาชิกวุฒิรัฐสภา ที่ห้องประชุมอันทรงเกียรติ์ ภายในตึกรัฐสภา เมืองโอลิมเปีย มลรัฐวอชิงตัน
เป็นอีกหน้าที่ของพระธรรมฑูตในประเทศ สหรัฐ ที่มีส่วนในการสร้างชื่อและเจริญพระธรรมค้ำจุนโลกตามรอยที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงอบรมสั่งสอนกันเอาไว้ครับ
พูดถึงการ “ปฏิบัติธรรม” ที่แม้ทั่วโลกจะหันมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญกันมากขึ้นและในหลายๆ โอกาสเราได้เห็นต่างประเทศนิมนต์คณะสงฆ์ไทยไปเจริญพระพุทธมนต์บ้าง แสดงธรรมในโอกาสต่างๆ บ้างแล้ว แต่ในบ้านเราเองนั้นยังคงมีความไม่เข้าใจและสับสน
ก็พอดีเหลือบไปเห็น ธรรมนิพนธ์ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) จากธรรมนิพนธ์ “ธรรมกับการศึกษาของไทย” เรื่อง “ความหลงตัวเอง: ความยึดติตในวัฒนธรรมของตน” ท่านเขียนถึงเรื่องของการปฏิบัติธรรมเอาไว้เป็นข้อคิดได้เป็นอย่างดีว่า
คนจำนวนมากทีเดียวจะเข้าใจคำว่า “ปฏิบัติธรรม” หรือพูดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม ในความหมายว่า เป็นการปลีกตัวเข้าวัด หรือต้องไปในป่า และไปอยู่เงียบๆ สักระยะหนึ่ง ไปนั่งสมาธิ ไปทำกรรมฐาน ไปบำเพ็ญเพียรทางจิตใจเป็นพิเศษ ไปอยู่ในที่วิเวกห่างไกลจากผู้คน ออกจากสังคมไป จึงเรียกกันว่าปฏิบัติธรรม
“ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันอย่างนั้นมากแล้ว ก็แสดงว่า คำว่า “ปฏิบัติธรรม” เป็นคำหนึ่งที่กำลังมีความหมายเพี้ยนไป และเป็นเครื่องแสดงด้วยว่า วัฒนธรรมของไทยในปัจจุบันมีอะไรๆ ที่กำลังผันแปรไปอีก”
คำว่า “ปฏิบัติธรรม” นี้คืออะไร?
ปฏิบัติธรรม ก็คือการนำเอาธรรมมาใช้มาปฏิบัติ เรามาทำงาน ถ้าทำงานด้วยใจรักงาน ก็เรียกว่ามี ‘ฉันทะ’ ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ก็เรียกว่ามี ‘วิริยะ’ ทำงานด้วยความเอาใจใส่ รับผิดชอบ ก็เรียกว่ามี ‘จิตตะ’ ทำงานด้วยการใช้ปัญญาไตร่ตรอง ใคร่ครวญ หาทางแก้ไขตรวจสอบ ทำให้งานดียิ่งขึ้น พิจารณาข้อยิ่งข้อหย่อนในการงานนั้น มีการตรวจตราวัดผลต่างๆ ก็เรียกว่ามี ‘วิมังสา’ ถ้าทำครบ 4 อย่างนี้ ก็เรียกว่า ทำงานด้วย “อิทธิบาท 4”
“อิทธิบาท 4” ก็เป็นหลักธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง เมื่อทำงานด้วยอิทธิบาท 4 ก็คือ การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
หลายท่านในที่นี้มีรถยนต์ เมื่อขับรถไปในท้องถนนนั้น ถ้าเราขับด้วยความมีสติ ระมัดระวัง มีความไม่ประมาท รักษากฎจราจร อยู่ในระเบียบข้อบังคับและขับด้วยความสุภาพ อย่างนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม แน่นอนไม่มีพลาดเลย แม้แต่จะกินอาหาร ถ้ากินอย่างรู้จักประมาณ มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิต ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ตะกละมูมมาม ก็เป็นการปฏิบัติธรรม
“แต่คนปัจจุบันไม่ค่อยมองถึงการปฏิบัติธรรม ในความหมายอย่างนี้ แม้แต่เพียงเรานั่งอยู่เฉยๆ เราตั้งจิตคิดนึกจะทำความดี ตั้งใจจะทำความดีต่อผู้อื่น ปรารถนาดีหวังดีต่อเขา เพียงเท่านี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันนี้เราเอาคำว่าปฏิบัติธรรมไปใช้ในความหมายที่แคบลงๆ จนกระทั่งมีความหมายเฉพาะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาและระมัดระวังกัน”