Saturday, June 10, 2023
More
    spot_imgspot_imgspot_imgspot_img

    เด็กไทยสมาธิสั้น

    กำลังเป็นประเด็นสุดฮอตเป็น “ทอล์ก ออฟ ทาวน์” กันเลย กับเรื่องที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความเป็นห่วงเด็กเยาวชนไทยที่ติดหนึบโทรศัพท์มือถือจนไม่เป็นอันทำอะไร โดยนายกฯ ได้แสดงความเป็นห่วงว่าจะทำให้เด็กสมาธิสั้น มีนิสัยก้าวร้าวขึ้น พร้อมฝากฝังให้ผู้ปกครอง ครู และผู้เกี่ยวข้องเร่งหาทางดูแลปัญหานี้

    จากการสำรวจของนักวิจัยนั้นพบว่ากว่าร้อยละ 50 ของกลุ่มเป้า-หมายที่ทำการสำรวจ จะหยิบโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งแรกหลังตื่นนอน และยังใช้โทรศัพท์เป็นกิจกรรมสุดท้ายก่อนเข้านอนอีกด้วย ยังผลให้เกิดอาการสมาธิสั้น การใช้สมองในส่วนของความทรงจำลดลง และมีแนวโน้มที่กลุ่มคนเหล่านี้จะมีอารมณ์แปรปรวน มีความรุนแรงฉุนเฉียวง่ายขึ้น


    ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวย้ำว่า ในช่วงนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองและครูจึงต้องตระหนักในเรื่องนี้และช่วยวางแผนการใช้ชีวิตทั้งเรื่องเรียนและการพัฒนาทักษะอื่น พร้อมกับฝากพ่อแม่ผู้ปกครองที่ส่วนใหญ่จะพึงระมัดระวังป้องกันอันตรายจากภายนอกบ้านไม่ให้เกิดขึ้นกับบุตรหลานของตน แต่กลับมองข้ามความปลอดภัยและอันตรายจากโทรศัพท์มือถือที่กำลังคืบคลานเข้ามาในบ้าน แม้กระทั่งในห้องนอน

    ที่จริงปัญหาเด็กเยาวชนติดโทรศัพท์มือถือหาใช่เรื่องใหม่ แต่คุกรุ่นมานานแล้ว โดยที่ผู้คนในสังคมเองก็ไม่ได้ยินดียินร้ายหรือให้ความสำคัญ นักเรียนในทุกระดับการศึกษาไล่มาตั้งแต่อนุบาลเดี๋ยวนี้ก็พกโทรศัพท์มือถือติดกระเป๋ากันแล้ว ในระดับประถมชั้นพื้นฐานไปยันวัยรุ่นนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ใครไม่มีใช้แทบจะถูกมองว่าเป็นพวกหลังเขาไปเลย มันกลายเป็นแฟชั่น กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมีไปแล้วในเวลานี้

    หนทางที่จะดึงเด็กและเยาวชนออกห่างจากมือถือนั้นมีอยู่ แต่คงไม่ได้หมายถึงทิ้งโทรศัพท์มือถือหรือสั่งห้ามกันไปเลยอย่างที่บางโรงเรียน สถานศึกษาทำ เพียงแต่ต้องจำกัดการใช้การเล่นให้พอเหมาะพอสม เวลาพักหรือหลังเลิกเรียนไปแล้ว ส่วนที่บ้านนั้นก็คงขึ้นอยู่กับผู้ปกครองแล้วว่าจะหากลวิธีใดที่จะให้บุตรหลานใช้โทรศัพท์มือถืออย่างพอเหมาะ ไม่ใช่หายใจเข้าหายใจออกเป็นไลน์ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ไปซะหมด

    อีกหน ทางที่จะขัดเกลา  จิตใจเด็กและเยาวชนให้รู้จักความพอดี ความเสียสละ มีสมาธิ ไม่ก้าวร้าว ซึ่งแม้ไม่ได้เป็นการลด ละ เลิกใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ผลพวงของการกระทำจะทำให้เด็กรู้จักการใช้มือถืออย่างพอเหมาะพอควร นั่นก็คือการหาทางส่งเสริม สนับสนุน และดึงให้เด็กได้รู้จักกับการทำสมาธิ

    เราได้ยินได้ฟังกันมานักต่อนัก ปัจจุบันโรงเรียนในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรป หรือออสเตรเลีย เขาบรรจุหลักสูตรการทำสมาธิในโรงเรียนและขยายมากขึ้นไปเรื่อยๆ ฝึกให้เด็กและเยาวชนของเขาได้รู้จักกับคำว่า “สมาธิ” และการทำสมาธิก่อนเริ่มต้นชั่วโมงเรียน หรือก่อนเลิกเรียน ค่อยๆ สอดแทรกการควบคุมอารมณ์ ผ่อนคลายอารมณ์ เพิ่มการบริกรรมหรือทำสมาธิ

    หากทุกโรงเรียน สถานศึกษาในบ้านเราจะนำมาใช้ก็ควรจะต้องเริ่มต้นกันเสียวันนี้ ในทุกเช้าหลังเคารพธงชาติ ก่อนเริ่มต้นชั่วโมงเรียน ให้เด็กได้ทำสมาธิกันสัก 5-10 นาที ไม่ต้องมากค่อยๆ ทำไป หลังเลิกเรียนก่อนกลับบ้านก็ให้นั่งทำสมาธิกัน 5-10 นาที ค่อยๆ ซึมซับเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาความนิ่ง ความสงบ และสมาธิเข้าไปฝังอยู่ในจิตใจเด็ก

    สมาธิคือการสะสมพลังจิต เป็นบ่อเกิดแห่งสติสัมปชัญญะ บ่อเกิดแห่งปัญญา ผู้ทำสมาธิจะได้อะไรบ้างนั้น ผู้เขียนก็ได้ถ่ายทอดไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว หากไม่ดีจริงต่างประเทศที่เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เขาคงจะไม่นำเอาหลักสูตรของเราไปใช้กัน

    มีตัวอย่างของเด็กเยาวชนที่ฝึกสมาธิ นั่งสมาธิและได้ประโยชน์จากการทำสมาธิที่ “เนตรทิพย์” เคยนำเสนอมาแล้วอย่าง เด็กชาย ภูสิทธิ น้านิรัติศัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเซนต์คาเบรียลบอกว่าสมาธินั้นสุดแสนวิเศษ เหตุเพราะธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้เห็นความจริงของสรรพสิ่งบนโลกนี้ การฝึกเจริญสมาธิ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเจอธรรมะอันสูงสุด

    “หลังจากการฝึกเล่าเรียนวิชาธรรมะของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ทำให้ผมพบความมหัศจรรย์สูงสุดของชีวิต นั่นคือความสงบสุขทางกาย ความสุขทางใจ ความเจริญก้าวหน้าทางการเรียน ความหลีกหนีพ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ นานา การปฏิบัติสมาธิก็คือการฝึกควบคุมจิตใจให้ตั้งมั่น ไม่ให้เตลิดไหล การฝึกสมาธิอย่างง่ายที่ผมทำทุกครั้งก่อนเริ่มเรียนหนังสือแต่ละวันก็คือการนั่งหลับตา ลำตัวตั้งตรงหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ มือทั้งสองวางอยู่บนหน้าตักพร้อมกับภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่างต่อเนื่อง 2-3 นาทีแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น ความพิเศษอย่างหนึ่งที่ผมพบก็คือเมื่อจิตใจนิ่งไม่ว้าวุ่น ไม่ฟุ้งซ่าน ผมจะจดจำทุกคำพูด ทุกคำศัพท์ ทุกเนื้อหาได้ พอกลับมาบ้านยังนึกถึงสิ่งที่คุณครูสอนในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น”

    เด็กชายธีรวัฒน์ ศรีสงคราม นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคกบัวค้อ จังหวัดมหาสารคาม ได้กล่าวถึงคุณวิเศษของการทำสมาธิว่า “เมื่อก่อนผมชอบเล่นเกมไม่สนใจการเรียน พอได้เข้าชมรมนั่งสมาธิจากที่เคยติดเกมก็เลิกได้ การเรียนก็เปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนสอบได้ที่ 7 แต่เทอมนี้สอบได้ที่ 4 ผมดีใจมากที่เรียนเก่งขึ้น การนั่งสมาธินั้นทำให้เป็นคนใจเย็นขึ้น ไม่ใจร้อนเหมือนแต่ก่อน เปลี่ยนผมไปในทางที่ดีขึ้น”