เรื่องราวแสนเศร้าที่มีการแชร์กันในโลกโซเชียลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา “ตาต้า” สาวสวยนักวิ่งมาราธอนที่จากไปอย่างกะทันหัน
เรื่องราวของ “ตาต้า” ถูกโพสต์บนโลกโซเชียลครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าตัวเกิดปวดหลังจึงไปหาหมอตรวจดูอาการ และตรวจพบก้อนเนื้อที่มดลูกไปกดกระเพาะปัสสาวะอยู่เลยตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ก่อนสรุปว่าเป็นมะเร็งกระเพาะในระยะสุดท้าย
เจ้าตัวได้สร้าง FB “@อย่าเรียกชั้นว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย” ขึ้นมาถ่ายทอดเรื่องราวตนเอง รวมทั้งอัพเดทความคืบหน้าของอาการป่วยเป็นระยะๆ ด้วยสำนวนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แบบว่าอยากให้ทุกคนเห็นอีกมุมว่าเป็นมะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พร้อมกับบอกว่าเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งซึ่งก็ยังงงๆ อยู่ว่าเป็นได้ยังไงเพราะเป็นคนแข็งแรง แต่พอหมอบอกว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ก็พอลำดับความได้ว่าตัวเองเป็นคนชอบกินของหมักดอง ของดิบๆ รสจัดๆ ปลาร้าทุกวันต้องมี กาแฟ เบียร์ไวน์ ไม่ได้ขาดแต่ไม่ได้ตกใจอะไรมาก
แต่สรุปว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย ไม่เคยมีอาการอะไรมาก่อนเลย แข็งแรงชนิดว่าคุณหมอยังงง ออกกำลังกายเกือบทุกวันอันนี้น่าจะเป็นตัวช่วยให้ดูแข็งแรงเกินปกติของ “ผู้ป่วย” ที่เป็นโรคนี้
วันที่ 9 มิ.ย. ตาต้าได้โพสต์ข้อความอีกครั้งว่าต้องไปนอน รพ. หลังทำ MRI พบว่าแนวกระดูกสันหลังมาคลุมรอบกระดูกต้นคอกดทับเส้นประสาท สรุปว่าที่ปวดคอ ปวดเอว ปวดแขนก็เพราะเหตุนี้ อาการที่มีคือแน่นหน้าอก, ไข้ขึ้น, heart rate สูง, O2 ต่ำ เดี๋ยวรักษาหายแล้วจะได้กลับไปจ๊อกเบาๆ สักที อยากไปวิ่งกะพี่ตูน
หลังจากตาต้าโพสต์ออกไป “พี่ตูน” และทีมงานก็ได้ไปเยี่ยมตาต้าถึงโรงพยาบาล ทำให้กระแสโซเชียลพากันส่งกำลังใจให้ตาต้ากันมากมาย หลังจากนั้น วันที่ 13 มิ.ย. เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความบอกเล่าประสบการณ์การฉายแสงว่าไม่น่ากลัว รวดเร็วดี ผลข้างเคียงก็ไม่เจอมาก สรุปว่าหายห่วง
จนมาถึงโพสต์สุดท้าย วันที่ 14 มิ.ย. บอกว่าต้องให้เลือด มีอาการเลือดจาง มึนเวียนหัว ไข้ขึ้นตลอด และได้ฉายแสงอีกครั้ง
ก่อนในอีกไม่ถึงเดือน วันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @nutchlimited เพื่อนของตาต้าได้แจ้งข่าวร้ายกับการเสียเพื่อนคนนี้ไป เป็นเครื่องเตือนใจว่าชีวิตเรามันสั้นมาก
ชีวิตนั้นสั้นมากจริงๆ เธอจากไปแล้วอย่างสงบ ทิ้งไว้เพียงความทรงจะที่ดี…”ตาต้าสาวนักวิ่งมาราธอน” ถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตคนเราที่สั้นนัก ไม่รู้ว่าวันนี้ พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นนั้น ทำให้นึกไปถึงอาจาริยวาทของ พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ประธานสถาบันพลังจิตตานุภาพที่เคยเทศนาเอาไว้ตั้งแต่ 28 ธันวาคม 2550 เมื่อ10 กว่าปีก่อนในเรื่องของ “ธรรมะคือเครื่องชโลมใจ” ว่า “ชีวิตของคนเรานี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า…น้อยหนักหนา ให้พึงคิดถึงว่าลมหายใจเรามีอยู่ตราบใด เราก็มีชีวิตอยู่ตราบนั้น ถ้าลมหายใจหมดแล้วก็เรียกว่าตายก็หมดเรื่องกัน แต่ไม่ใช่หมดเรื่องที่เราจะต้องไปเสวยกรรมต่างๆ ในปรโลกเบื้องหน้าอันนั้นยังไม่หมด แต่ว่าชีวิตที่เราอยู่ในชาตินี้ ก็ถือว่าหมดลมหายใจหมดกัน…”
ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราได้ต่อสู้เพื่อชัยชนะของเรานี่เอง ใจของเราที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือมีจิตใจที่ต้องการทำบาปที่เรียกว่า “อกุสลา” นั้นจะติดตามตัวเราไปเหมือนกัน ไปทำร้ายเรา ทำให้เราเดือดร้อนอายุสั้น เร็วพลันบ้าง เป็นโรคภัยไข้เจ็บบ้าง เสียชีวิตโดยที่ยังไม่ถึงเวลาอันควรบ้าง สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นอกุศลาธรรม ซึ่งมีมาตั้งแต่อดีตชาติ เพราะเราไม่ใช่เกิดมาชาติเดียว ในอดีตชาติเราก็ได้เกิดมาเป็นคนบ้าง ไม่ใช่คนบ้าง เราก็รู้ไม่ได้ อันนี้เรียกว่าต้องมี “บุพเพ สันนิวาสนุสติญาณ” หรือการระลึกชาติ
คนเราที่เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ก็มีสภาพอันเดียวกันคือ เกิดขึ้นมาแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ใครจะล่วงพ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปไม่ได้ แต่ว่าร่างกายนี้ตายไป แต่ใจไม่ได้ตายตามไปด้วย เพราะฉะนั้นบาปก็ดี บุญก็ดี กุศลก็ดี อกุศลก็ดี เมื่อทำแล้วใจจะเป็นผู้รับ รับแล้วก็จะต้องมีชาติหน้าต่อไป ชาติข้างหน้าที่เราจะต้องไปนั้นก็คือเอาใจนี่แหละไปเกิด เพราะว่าใจนี้เป็นของไม่ตาย ถ้าหากว่าเป็นบุญเป็นกุศลก็ไปเกิดในที่ดีมีความสุข ถ้าหากเป็นบาปอกุศล ก็ไปเกิดในที่ไม่ดีมีความทุกข์
เพราะฉะนั้นธรรมที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ หรือในขณะนี้จะเป็นผลต่อไปในปรภพเบื้องหน้า เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็พยายามที่จะสร้างความดีไว้ เพื่อให้ความดีเหล่านั้นจะได้ติดทนติดตามไปในปรภพเบื้องหน้าได้ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ประมาท เขาจึงมาคิดว่าวันหนึ่งเราควรทำอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้วันและเวลาล่วงไปเปล่าๆ ควรต้องทำบุญกุศลทุกวัน ใน 365 วัน
เราจะทำบุญกุศลทุกวันได้อย่างไร? เราก็ต้องทำสมาธิ เพราะว่าทำสมาธินี้ไม่ต้องไปลงทุน อยู่ที่บ้านก็ทำได้ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ วันหนึ่งทำสมาธิสัก 5 นาที 10 นาที หรือมากกว่านั้นยิ่งดี วันหนึ่งไม่เกิน 30 นาทีนั่นก็หมายถึงว่าเราเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว