นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจธุรกิจดาวรุ่ง และร่วงปี 2563 ว่าจากการประเมินปัจจัยสนับสนุนและบั่นทอนธุรกิจในปี 2563 ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงินที่เพิ่มความเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ รวมถึงต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง
จากปัจจัยข้างต้น ทำให้ประเมินว่า 10 อันดับธุรกิจที่เป็นดาวรุ่งประจำปี 2563 มีดังนี้
1.ธุรกิจแพลตฟอร์ม (ธุรกิจตัวกลาง หรือตลาดกลางทางด้านอิเล็กทรอนิกส์)
2.ธุรกิจ e-commerce (ธุรกิจที่ทำการซื้อขายผ่านอิเล็กทอนิกส์) รวมถึงธุรกิจเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศและอุปกรณ์ รวมทั้งผู้ให้บริการโครงข่าย
3.ธุรกิจเกมส์ ธุรกิจพัฒนา application
4.ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์
5.ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต รวมถึงธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม
6.ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจบน Street Food
7.ธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ
8.ธุรกิจด้าน fintech และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี รวมถึงธุรกิจพลังงาน
9.ธุรกิจก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงธุรกิจที่ปรึกษาด้านกฎหมาย/บัญชี
10.ธุรกิจความเชื่อ รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับทางด้านท่องเที่ยว ธุรกิจ Hostel Modern Tourism และ Lifestyle Tourism และธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว
ส่วน 10 อันดับธุรกิจที่เป็นดาวร่วง ปี 2563 มีดังนี้
1.ธุรกิจเช่าหนังสือ
2.ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐาน และเครื่องโทรสาร
3.ธุรกิจร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต
4.ธุรกิจสิ่งพิมพ์ และวารสาร
5.ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ใช้แรงงานเยอะและขายในประเทศ รวมถึงธุรกิจหัตถกรรม และเฟอร์นิเจอร์ไม้ (ดั้งเดิมที่ไม่ได้มีการปรับตัว)
6.ธุรกิจการค้าแบบดั้งเดิม
7.ธุรกิจคนกลาง
8.ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ความจำ Storage Media คือ CDs, DVDs, Blue-Ray Discs, External Hard Drives,Memory Cards
9.ธุรกิจดั้งเดิมไม่มีดีไซน์ และใช้แรงงงานเยอะ (เฟอร์นิเจอร์, ของเล่น)
10.ธุรกิจสถานศึกษาเอกชน รวมถึงธุรกิจร้านถ่ายรูป
นอกจากนั้นยังมีธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงในปี 2563 คือ ธุรกิจร้านกาแฟที่ทำเลไม่ดี ไม่มีแฟรนไชส์ มีขนาดเล็ก และธุรกิจร้านชานมไข่มุกที่ทำเลไม่ดี
ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงปานกลางปี 2563 ประกอบด้วย ธุรกิจคลินิกเสริมความงาม ธุรกิจเครื่องสำอางและอาหารเสริม ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทำเลไม่ดี และธุรกิจร้านอาหารที่เพิ่งเปิดและขนาดเล็ก
สำหรับปัจจัยที่จะส่งเสริมธุรกิจ ได้แก่ ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจปี 2563 จีดีพีของประเทศที่คาดว่าจะขยาย 2.4-3.1% การส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัว 1.8-3.4% ภาวะเงินเฟ้อเฉลี่ย 1.2% โดยมีปัจจัยสำคัญคือประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไม่ต่ำกว่า 41-42 ล้านคน
ขณะเดียวกันภาครัฐต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังมีการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC รวมถึงธนาคารกลางทั่วโลกจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้การลงทุนปี 2563 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจปีหน้าอยู่ในอาการฟื้นตัว เนื่องจากมีปัจจัยหลักจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่จะได้ข้อตกลงร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและมีทางออก Brexit ที่จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 กำลังฟื้นตัวขึ้นและส่งผลให้ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นไปมาก แม้จะมีปัจจัยทางการเมืองที่หลายฝ่ายมองว่าอาจจะมีปัญหาการชุมนุมนอกสภา แต่เชื่อว่าจะอยู่ภายใต้กฎหมาย และแม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ปรับ ครม. แต่จะปรับหรือไม่ปรับ นักการเมืองทุกคนต้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์อยู่แล้ว จึงคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเติบโต 3.1% ได้อย่างแน่นอน