Friday, December 8, 2023
More

    ศึกชิงนักท่องเที่ยวจีน ไทยตั้งเป้าคนจีนมาเยือน 23 ล้านคนในปี 2030

    ท่ามกลางแรงปะทะในปัจจุบัน ทั้งเงินบาทแข็งค่าในช่วงปีที่ผ่านมา สถิติไทยชวดแชมป์โกลเด้นวีควันชาติจีนเป็นรองให้ญี่ปุ่น ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวในเวียดนามก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากขึ้น จึงเป็นความท้าทายของรัฐบาลและผู้ประกอบการไทย ที่จะชิงส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวจีนให้มากขึ้นกว่าเดิม


    นักท่องเที่ยวจีนครองโลก

    ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนมีความสำคัญอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยและทั่วโลก จากการทำวิจัยเรื่อง “เกาะติดทิศทางนักท่องเที่ยวจีน” ของศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย พบว่าใน 10 ปีข้างหน้า การท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% จาก 160 ล้านคน ในปี 2019 เป็น 334 ล้านคน ในปี 2030 เนื่องจากกำลังซื้อที่ยังเพิ่มขึ้น แม้เพิ่มในอัตราที่ชะลอลงบ้างตามทิศทางเศรษฐกิจ

    อีกทั้งชาวจีนรวยขึ้นในลักษณะกระจายตัวตามมณฑลต่างๆ โดยสัดส่วนชนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นจนเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของครัวเรือนจีน นอกจากนี้ จีนยังมีแผนขยายสนามบินและเที่ยวบินอย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มสนามบินใหม่อีกกว่า 200 แห่ง ปรับโครงสร้างพื้นฐานสนามบินเดิม อีกทั้งมาตรการผ่อนคลายด้านวีซ่าของประเทศต่างๆ หนุนให้ชาวจีนเที่ยวนอกได้ง่ายขึ้น

    โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 35 ปี สามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์และสามารถท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง เริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวประเภท Unseen รวมถึงเมืองรองทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเที่ยวนอกและชอปปิงของชาวจีนสูงมาก ดังนั้นธุรกิจและองค์กรด้านการท่องเที่ยวทั่วโลก จึงใช้โซเชียลมีเดียจีนนำเสนอข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวจีน

    สำหรับประเทศจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของชาวจีน อันดับ 1 ยังคงเป็นประเทศไทย ด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และเอกลักษณ์และวัฒนธรรมอันโดดเด่น หากไทยยังสามารถรักษาสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่ 7% ยอดนักท่องเที่ยวจีนในไทยจะแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030

    อย่างไรก็ตาม เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวมาแรงในสายตาชาวจีนเช่นกัน

    ไทยรั้งตำแหน่งแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1

    ปัจจุบันไทยเป็นปลายทางแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีน รองลงมาคือญี่ปุ่นและเวียดนาม โดยศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนออกเป็น 2 กรณี กรณีแรก คือ หากไทยสามารถรักษาสัดส่วน 7% ของชาวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนไทยมีโอกาสแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 จากขณะนี้ที่มีจำนวน 11.1 ล้านคน

    ส่วนกรณีที่สอง คือ หากการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม อาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเติบโตเพียง 5.5% หรืออยู่ที่ 20 ล้านคนใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งไทยต้องแข่งขันด้วยการรักษาจุดแข็งด้านความงดงามทางธรรมชาติ ความโดด-เด่นด้านโครงสร้างพื้นฐานบริการด้านการท่องเที่ยว การขนส่งทางอากาศและราคา เพิ่มความหลากหลายและความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ โดยเฉพาะเมืองรอง เช่น เชียงราย สุโขทัย ตราด ตรัง และแม่ฮ่องสอน  ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย

    ด้านผลสำรวจด้านปัจจัยในการเลือกประเทศปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนจาก Nielsen ระบุว่า อันดับ 1 คือ ความสวยงามของสถานที่ 56% ตามด้วยความปลอดภัย 47%, ความสะดวกในขั้นตอนการขอวีซ่า 45%, ความเป็นมิตรของคนท้องถิ่น 35% และ ความสามารถในการจับจ่าย 34%

    โดยอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม พบว่า ไทยครองอันดับ 1 ด้านทรัพยากร ธรรมชาติและการบริการด้านการท่องเที่ยว ส่วนด้านที่ต้องปรับปรุงคือ ความปลอดภัยและความมั่นคง

    เจาะกำแพงจีน ดึงนักท่องเที่ยว

    สำหรับโจทย์ที่ผู้ประกอบการไทยควรทำเพื่อรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวจีน และเพิ่มอัตราการเติบโตอย่างก้าวหน้าคือ การทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียจีน เพื่อดึงดูดความสนใจและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวจีนที่เชื่อถือข้อมูลบนโซเชียลมีเดียสูงมาก ซึ่งปัจจุบันชาวจีนที่ออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ คือ ชาว             Millennials กว่า 80% ดังนั้นการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์จีนจึงสำคัญ

    อย่างไรก็ตามอาจมีความท้าทายจากกฎระเบียบของประเทศจีน ผู้ประกอบการไทยจึงอาจเลือกใช้บริการจากเอเจนซีผู้เชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มของจีนแทน ซึ่งมีทั้งบริษัทคนไทยและบริษัทร่วมทุน โดยสามารถจัดทำเป็นบทความภาษาจีนที่น่าสนใจ เพื่อเผยแพร่ในรูปแบบและช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การส่งแบนเนอร์ของธุรกิจไปยังหน้าจอ WeChat ตลอดจนการใช้บุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดของชาวจีน (Key Opinion Leaders) ที่มีอยู่มากมายช่วยรีวิวสินค้าและบริการ

    ทั้งนี้ เรื่องที่เป็นความท้าทายของการท่องเที่ยวไทย นอกจากต้องรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวจีนแล้ว ยังต้องคัดกรองนักท่องเที่ยวคุณภาพด้วย เพื่อรักษาทรัพยากรของประเทศไทยไว้ ขณะเดียวกัน การสร้างภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยและมั่นคงในประเทศ เป็นเรื่องที่ไม่ควรนิ่งดูดาย เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบด้วยภัยก่อการร้ายรูปแบบต่างๆ ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความกังวลใจที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศนั้นๆ   


    ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ – ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย

    “ความงดงามตามธรรมชาติ เอกลักษณ์และวัฒนธรรม ทำให้ไทยเป็นปลายทางอันดับ 1 ของจีน ขณะเดียวกันเวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา เป็นแหล่งท่องเที่ยวมาแรง หากไทยสามารถรักษาสัดส่วน 7% ของชาวจีนได้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนไทยมีโอกาสแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 แน่นอน”