เผยพฤติกรรมการซื้อประกันชีวิตของคนไทย มีสัดส่วนเพียง 8.9% จากจำนวนครัวเรือนทั้งหมด อีก 91.1% ไม่ซื้อ สาเหตุจากการมีรายได้เหลือไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันกลุ่มที่ซื้อมากที่สุดคือครัวเรือนรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน โดยส่วนใหญ่จ่ายเบี้ยประกันราว 5,000 บาทต่อปี
ครัวเรือนรายได้สูงเลือกซื้อประกันชีวิตมากสุด
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) เผยข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของภาคครัวเรือนไทย (Household Socio-Economic Survey หรือ SES) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อประกันชีวิตของคนไทยคือ ปัจจุบันคนไทยที่ซื้อประกันชีวิตยังเป็นส่วนน้อย มีรายจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตเพียง 8.9% จากจำนวนครัวเรือนทั้งหมด โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน และ 15,000-30,000 บาทต่อเดือน ที่มีสัดส่วนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4.8% และ 8.2% ตามลำดับ
ทั้งนี้ สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายจ่ายประกันชีวิตจะสูงขึ้นตามช่วงรายได้ จากเงินออมและโอกาสจากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อประกันชีวิตที่มีมากกว่า ทำให้สัดส่วนกลุ่มครัวเรือนรายได้สูงมีรายจ่ายประกันชีวิตอยู่ในระดับที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบ โดยกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ในช่วง 30,000-50,000 บาท และมากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนการมีประกันชีวิตอยู่ที่ 10.2% และ 20.3% ตามลำดับ
สำหรับค่ากลาง (Median) ของเบี้ยประกันที่จ่ายต่อปีของครัวเรือนไทยจะอยู่ที่ราว 5,000 บาทต่อปี โดยมูลค่าของเบี้ยประกันที่จ่ายก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามรายได้ของครัวเรือนเช่นกัน
ประกันสุขภาพควบรวมประกันชีวิตมาแรง
โดยลักษณะและพฤติกรรมของครัวเรือนไทยมีผลต่อการซื้อประกันชีวิตคือ หากครัวเรือนมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ 1.มีบ้านเป็นของตนเอง (ทั้งที่มีและไม่มีภาระหนี้) 2.มีสมาชิกที่จบปริญญาตรีขึ้นไป 3.มีสถานะสมรส หรือ 4.มีลูก จะมีแนวโน้มมีประกันชีวิตมากกว่าครัวเรือนที่ไม่มีลักษณะดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ (วิเคราะห์โดยควบคุมปัจจัยรายได้ อายุเฉลี่ยของสมาชิกครัวเรือนที่มีงานทำ และภูมิภาคที่ครัวเรือนอยู่อาศัย) ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคตามช่วงชีวิต (Life Cycle) และผลส่วนหนึ่งอาจมาจากการทำประกันชีวิตพร้อมกับการขอสินเชื่อบ้านเพื่อเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ดีกว่า
ทั้งนี้ หากเป็นครัวเรือนที่มีมากกว่า 1 ลักษณะก็จะยิ่งมีแนวโน้มในการซื้อประกันชีวิตที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าการมีประกันสุขภาพของเอกชนถือเป็นอีกตัวบ่งชี้ที่มีนัยสำคัญ โดยครัวเรือนที่มีประกันสุขภาพมักจะมีประกันชีวิตด้วย สะท้อนถึงพฤติกรรมการป้องกันความเสี่ยงของครัวเรือนที่มักจะทำประกันทั้ง 2 ด้านคู่กัน และลักษณะของการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทที่มีความคุ้มครองด้านสุขภาพรวมอยู่ด้วย
ขณะเดียวกันตัวเลขของศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ธุรกิจประกันชีวิตในครึ่งแรกของปี 2562 หดตัว 6.1% ต่อปี ซึ่งเป็นการถดถอยครั้งแรกในรอบทศวรรษ จึงเป็นเรื่องที่ภาคธุรกิจต้องตามให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
แนวโน้มการซื้อประกันชีวิตของคนไทยยังมีโอกาสทางการตลาดทั้งในกลุ่มศักยภาพและกลุ่มที่มีความจำเป็น จากสัดส่วนครัวเรือนไทยที่มีรายจ่ายประกันชีวิตที่น้อยเพียง 8.9% สะท้อนว่าครัวเรือนที่ยังไม่ซื้อมีอีกมากถึงกว่า 9 ใน 10 แม้กระทั่งกลุ่มที่มีลักษณะที่บ่งชี้แนวโน้มในการซื้อสูงก็ยังมีสัดส่วนการมีรายจ่ายประกันชีวิตไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
เมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการมีประกันชีวิตเพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับคนทำงานในครอบครัว โดยวัดจากสัดส่วนจำนวนสมาชิกครัวเรือนที่ไม่มีงานทำต่อจำนวนคนทำงาน หรืออัตราส่วนการพึ่งพา (Dependency Ratio) จะพบว่า มีครัวเรือนไทยจำนวนมากถึง 6.8 ล้านครัวเรือน เป็นครัวเรือนที่คนทำงานต้องดูแลคนที่ไม่ทำงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป (Dependency Ratio มากกว่าหรือเท่ากับ 1) ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการมีประกันชีวิตเพื่อป้องกันความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี ในกลุ่มครัวเรือนที่ถือว่ามีความจำเป็นนี้มีจำนวนถึง 6.1 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 89.9% ที่ยังไม่มีประกันชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการมีรายได้เหลือไม่พอหลังหักค่าใช้จ่ายและชำระหนี้ โดยครัวเรือนกลุ่มนี้มีถึง 4.8 จาก 6.1 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 78.0% ที่มีรายได้เหลือไม่พอจะจ่ายเบี้ยประกันที่ 417 บาทต่อเดือน (เทียบเท่าค่ากลางของรายจ่ายประกันของครัวเรือนไทย) ครัวเรือนกลุ่มนี้จึงอาจมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับคนทำงานในครอบครัว
โดยแนวโน้มการซื้อประกันชีวิตในภาพรวมของคนไทยยังมีความท้าทายที่สำคัญจากปัจจัยเชิงมหภาค ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจภาคครัวเรือนที่ซบเซาจากรายได้ที่ลดลงและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครัวเรือนไทยโดยเฉลี่ยมีอัตราการออมที่ลดลง ส่งผลกระทบกับแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อการออมและการลงทุนอย่างประกันชีวิต อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำก็จะมีผลทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนในประกันชีวิตต่ำลงไปด้วย นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรทั้งขนาดครอบครัวที่เล็กลง การแต่งงานที่ช้าลงและการตัดสินใจมีลูกที่น้อยลงก็จะมีส่วนทำให้การตัดสินใจทำประกันชีวิตโดยเฉลี่ยช้าลงหรือลดลงจากในอดีตได้ด้วยเช่นกัน