Sunday, September 24, 2023
More

    เปิดมอเตอร์เวย์สาย 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด ให้ใช้ฟรี 3 เดือน ดีเดย์วันนี้ – ส.ค. 63

    ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์สาย 7) สายกรุงเทพฯบ้านฉาง ส่วนต่อขยาย ช่วงพัทยามาบตาพุด พร้อมเปิดทดลองให้ประชาชนได้ใช้บริการโดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง ตั้งแต่วันที่ 22 .. 2563 เวลา 16.00 .เป็นต้นไป จนถึงสิ้นเดือน ส.. 2563

    โดยผู้ใช้ทางสามารถเข้าใช้บริการได้ 2 ทาง คือ วิ่งต่อเนื่องจากทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงชลบุรีพัทยา ที่บริเวณทางแยกต่างระดับมาบประชัน หรือเข้าจากทางหลวงหมายเลข 3 ถนนสุขุมวิท ที่ด่านอู่ตะเภา


    มอเตอร์เวย์สาย 7 ช่วงพัทยามาบตาพุด เปิดใช้ฟรี 3 เดือน โดยเป็นทางหลวงมาตรฐานสูงที่มีการควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์

    นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดทดลองให้บริการ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพฯบ้านฉาง ส่วนต่อขยาย ช่วงพัทยามาบตาพุด ณ ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางอู่ตะเภา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563

    ซึ่งนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยามาบตาพุด เป็นทางหลวงมาตรฐานสูงที่มีการควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์ (Fully Controlled Access)  มีถนนขนาด 4 – 6 ช่องจราจร มีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อเส้นทางสายชลบุรีพัทยาบริเวณทางแยกต่างระดับมาบประชันมุ่งไปทางทิศใต้ผ่าน

    .บางละมุง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ไปสิ้นสุดที่บริเวณบรรจบทางหลวงหมายเลข 3 เทศบาลเมืองมาบตาพุด อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ระยะทางรวม 32 กม.

    ผู้ใช้ทางสามารถใช้ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดเส้นทาง

    รูปแบบโครงการมีลักษณะเป็นทางหลวงพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจร ที่ควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์ ผู้ใช้ทางสามารถใช้ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดเส้นทาง ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจากทางแยกต่างระดับมาบประชันถึงสนามบินอู่ตะเภาลงกว่า 30 นาที

    ตลอดแนวเส้นทางโครงการมีด่านชำระค่าผ่านทาง 3 แห่ง ได้แก่ ด่านฯ ห้วยใหญ่ เชื่อมสู่บ้านอำเภอ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี, ด่านฯ เขาชีโอน เชื่อมสู่ทางหลวงหมายเลข 331 อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรีและด่านฯอู่ตะเภาเชื่อมสู่ถนนสุขุมวิทอำเภอเมืองและอำเภอบ้านฉางจังหวัดระยอง

    โดยใช้ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางประกอบด้วย ระบบเงินสด (MTC) และแบบอัตโนมัติ (ETC) ซึ่งสามารถพัฒนาสู่รูปแบบการเก็บค่าผ่านทางแบบไร้ไม้กั้นในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทาง

    พร้อมสร้างจุดพักรถ (Rest Stop) เป็นจุดแวะพักให้ผู้ใช้ทางได้ผ่อนคลายจากการขับขี่

    นอกจากนั้น กรมทางหลวงอยู่ระหว่างการก่อสร้างจุดพักรถ (Rest Stop) มาบประชัน และสถานที่บริการทางหลวง (Service Area) บางละมุง เพื่อเป็นจุดแวะพักให้ผู้ใช้ทางได้ผ่อนคลายจากการขับขี่ โดยจะเปิดให้บริการภายในปี 2565

    มอเตอร์เวย์สาย 7 ช่วงพัทยามาบตาพุด เป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ EEC

    สำหรับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพฯบ้านฉาง ส่วนต่อขยาย ช่วงพัทยามาบตาพุดนั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยามาบตาพุด ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพฯชลบุรีพัทยา

    ซึ่งกรมทางหลวง ได้ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2559 แบ่งงานก่อสร้างออกเป็น 14 สัญญา ได้แก่ งานโยธา (งานก่อสร้างทางและสะพาน) 13 สัญญา และงานระบบ 1 สัญญา วงเงินลงทุนรวม 17,784 ล้านบาท (มูลค่าเวนคืน 6,000 ล้านบาท และมูลค่าก่อสร้าง 11,784 ล้านบาท) ซึ่ง ทล. ใช้รายได้ที่จัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางจากทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ที่เปิดให้บริการในปัจจุบันมาใช้ดำเนินการก่อสร้างทั้งหมด

     

    เส้นทางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขยายโอกาสการค้าและการลงทุน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต สร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ประชาชน

    อีกทั้งยังเป็นเส้นทางสายหลักที่เชื่อมสู่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตลอดจนนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ดียิ่งขึ้น ยังช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ จ.ระยองได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้นมีความปลอดภัย

    รวมถึงมีระบบควบคุมการจราจร จุดพักรถพักคน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งยังมีศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารและหน่วยงานกู้ภัย เพื่ออำนวยความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยให้ประชาชนเดินทางเข้าถึงแหล่งงานและแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก เสริมสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชน