ดร. เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการอาวุโส ด้านนโยบายการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้แสดงความเห็นไว้ในบทวิเคราะห์เรื่อง “วิกฤตโควิด-19 รัฐต้องเร่งลดช่องว่างดิจิทัล เพื่อความเท่าเทียมในห้องเรียนออนไลน์” ไว้ว่า
“รัฐบาลควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้เรียนออนไลน์จากที่บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาที่มาจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยรายละ 10,000 บาท”
ประเทศไทยมีสัดส่วนครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์เพียงร้อยละ 21
ข้อมูลของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) พบว่า ปัญหาของครัวเรือนในประเทศไทยที่ใหญ่กว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจากที่บ้านคือ การไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้าน และหากเปรียบเทียบกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ประเทศไทยมีสัดส่วนครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์เพียงร้อยละ 21 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่ร้อยละ 49 และค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาที่ร้อยละ 38
ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนครัวเรือนที่มีอินเทอร์เน็ตที่บ้านร้อยละ 68 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่ร้อยละ 55 และค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาที่ร้อยละ 44 ในปี 2561
ทั้งการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของครัวเรือนยิ่งยากมากขึ้นหากเป็นครัวเรือนที่มีฐานะยากจน โดยจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในปี 2560 ในประเทศไทย ครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีน้อยกว่า 2 แสนบาทมีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพียงร้อยละ 3 ของครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 2 แสนบาทขึ้นไปมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตร้อยละ 19 ของครัวเรือนทั้งหมด
และหากจำแนกตามภูมิภาคพบว่ากรุงเทพมหานครมีสัดส่วนครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์สูงถึงร้อยละ 42 ของครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าในภาคอื่น ๆ มากกว่าเท่าตัว กล่าวคือ ครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์มีสัดส่วนร้อยละ 21
ในภาคกลาง ร้อยละ 19 ในภาคเหนือ ร้อยละ 17 ในภาคใต้ และร้อยละ 14 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ช่องว่างทางดิจิทัลยิ่งทำให้ช่องว่างทางการศึกษาผ่านการเรียนออนไลน์เพิ่มมากขึ้น
เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเรียนในมหาวิทยาลัยเปลี่ยนเป็นออนไลน์ ช่องว่างทางดิจิทัลนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเข้าถึงการศึกษาของนักศึกษาที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตที่บ้าน การเปลี่ยนจากการเรียนในห้องเรียนเป็นการเรียนออนไลน์จะทำให้นักศึกษาจำนวนมาก โดยเฉพาะที่มาจากครอบครัวที่ยากจนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในปี 2560 พบว่า นักศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา และปริญญาในสถาบันอุดมศึกษาของไทยมีจำนวนทั้งหมดเกือบ 1.9 ล้านคน
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า สัดส่วนของนักศึกษาอย่างน้อยร้อยละ 25 มาจากครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีน้อยกว่า 2 แสนบาท และในสถานการณ์ปกติก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นักศึกษาที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนอาจไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตใช้ที่บ้านแต่ยังสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้จากมหาวิทยาลัยหรืออินเทอร์เน็ตคาเฟ่
ดังนั้น การปิดมหาวิทยาลัย และเปลี่ยนการเรียนเป็นออนไลน์แทน กลับทำให้นักศึกษาส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วมการเรียนออนไลน์ได้ โดยจากการสัมภาษณ์อาจารย์ในบางมหาวิทยาลัย พบว่า นักศึกษาส่วนหนึ่งที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ต้องไปรวมกันใช้คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตของเพื่อนที่หอพัก ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงติดโรคหากเกิดการระบาดขึ้นอีก
มาตรการความช่วยเหลือที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ช่วยให้นักศึกษาเรียนออนไลน์ได้จริง
แม้ว่ากระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมได้ออกประกาศเพื่อขอความร่วมมือจากหน่วยงานและสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดให้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นให้สถาบันอุดมศึกษาพิจารณาลดค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากนักศึกษาในภาคการศึกษาที่จะถึงนี้รวมทั้งจัดหาโปรแกรมแพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์มาให้มหาวิทยาลัยและนักศึกษาใช้และหารือร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจัดแพ็คเกจราคาพิเศษสำหรับอาจารย์และนักศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆได้มีมาตรการความช่วยเหลือแก่นักศึกษา
เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ แจกซิม อินเทอร์เน็ตให้นักศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคืนค่าหอพักให้นักศึกษา ส่วนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้นักศึกษาผ่อนชำระค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าหอพัก ในขณะที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมคืนค่าเทอมร้อยละ 15-25 ให้แก่นักศึกษา ในภาคเรียนที่ 2/2562 เป็นต้น
โดยมาตรการดังกล่าวข้างต้นน่าจะสามารถช่วยเหลือนักศึกษาได้ส่วนหนึ่ง โดยหากทุกมหาวิทยาลัยแจกซิมอินเทอร์เน็ตให้แก่นักศึกษาทุกคน ก็น่าจะทำให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น แต่หากนักศึกษายังไม่มีคอมพิวเตอร์ก็จะยังไม่สามารถเรียนออนไลน์จากที่บ้านได้อยู่ดี แม้ว่านักศึกษาอาจมีสมาร์ทโฟน แต่การเรียนออนไลน์ และการเขียนบนสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่ยากลำบาก
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือนักศึกษาที่ไม่มีคอมพิวเตอร์เรียนออนไลน์จากที่บ้าน
รัฐบาลควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้เรียนออนไลน์จากที่บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาที่มาจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
ซึ่งได้รับผลกระทบหนักสุด และต้องได้รับความช่วยเหลือโดยด่วน โดยให้เงินสนับสนุนซื้อคอมพิวเตอร์แก่นักศึกษาที่มาจากครัวเรือนที่มีฐานะยากจนรายละ 10,000 บาท
โดยเริ่มจากนักศึกษาที่ต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีจำนวนประมาณ 5 แสนคน ดังนั้น รัฐบาลจะใช้งบประมาณในส่วนนี้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันแต่ละมหาวิทยาลัยควรจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบถาม และพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตในการเรียนออนไลน์เพื่อให้มั่นใจว่านักศึกษาทุกคนจะสามารถเข้าถึงการเรียนออนไลน์ได้จริง
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยควรพิจารณาคืนค่าเทอมบางส่วนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของนักศึกษาที่มาจากครอบครัวที่ยากจน และครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทางลบจากโควิด-19 ด้วยช่องว่างทางดิจิทัลในประเทศไทยเป็นปัญหา และส่งผลกระทบทางลบต่อครัวเรือนที่ยากจนมานานแล้ว วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการลดช่องว่างทางดิจิทัลให้มากขึ้น
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องจัดสรรเงินเพื่อช่วยเหลือนักศึกษากลุ่มนี้เพื่อให้สามารถเรียนออนไลน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่มีการคาดการณ์กันว่า สถานการณ์โควิด-19 จะยังคงอยู่กับเราไปอย่างน้อย 12-18 เดือน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทิ้งนักศึกษาบางกลุ่มไว้ข้างหลัง และสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไปมากกว่านี้