“เวียดนาม” ทางเลือกฐานการผลิตใหม่ของแนวทาง Agile Supply Chain
Agile Supply Chain คือแนวทางใหม่ของบรรดาแบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการให้กระบวนการผลิตมีความยืดหยุ่น และคล่องตัวมากขึ้น ทำให้เกิดการลงทุนในฐานการผลิตอื่น ๆ นอกจากจีน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากวิกฤตโควิด-19
โดย เวียดนาม หรือ ประเทศในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar และ Vietnam) แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีแบรนด์ดังต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิตมาที่นี่หลายแห่งจากการที่สามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้อย่างดี อย่าง Apple ของสหรัฐฯ ซึ่งย้ายฐานการผลิต AirPods บางส่วนจากจีนมายังเวียดนาม กล่าวคือร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตทั้งหมด หรือประมาณ 3-4 ล้านชิ้น เพราะต้องการลดความเสี่ยงเรื่องห่วงโซ่การผลิต ที่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ส่วน Samsung ของเกาหลีใต้ ก็ได้วางแผนย้ายสายการผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนบางรุ่นไปยังเวียดนาม หรือ Panasonic ที่ย้ายฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มเครื่องซักผ้า และตู้เย็นจากประเทศไทยไปเวียดนาม ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการย้ายฐานการผลิตเหล่านี้มายังเวียดนาม ย่อมส่งผลต่อการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมควบคู่กันไปด้วย
5 เหตุผลที่จะทำให้ เวียดนาม กลายเป็นประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจ
เหตุผลที่ 1 : การเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้ธุรกิจใหญ่ ๆ ของโลกหลายบริษัทย้ายฐานการผลิตจากจีนมาเวียดนาม เพื่อลดความเสี่ยง
เหตุผลที่ 2 : การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำได้ดีกว่าหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
เหตุผลที่ 3 : มีแรงงานจำนวนมาก และค่าแรงต่ำ ทั้งประชากรกว่า 97 ล้านคนของเวียดนามส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน
เหตุผลที่ 4 : โครงสร้างพื้นฐานทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และระบบคลังสินค้าค่อนข้างดี โดยเฉพาะการเตรียมสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 ของสนามบินนานาชาติเติ่นเซินเญิต ที่มีพื้นที่ใช้สอยราว 100,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 20 ล้านคนต่อปี
เหตุผลที่ 5 : มีนโยบายสนับสนุนให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน อาทิ การให้สิทธิทางภาษีต่าง ๆ แก่นักลงทุนชาวต่างชาติ อีกทั้งเวียดนามกำลังจะเป็นประเทศที่สองของสมาคมอาเซียนที่ทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป EVFTA ซึ่งช่วยลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรปลงถึง 99 %
เวียดนาม ตั้งเป้าเป็นหนึ่งใน 35 ประเทศแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก (GII)
ตามแผนยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลแห่งชาติ (National Digital Transformation Program) จนถึงปี 2568 และวิสัยทัศน์สู่ปี 2566 (Vision to 2030) ของเวียดนามระบุว่าเวียดนามตั้งเป้าหมายเป็นหนึ่งใน 35 ประเทศแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก (GII) ภายในปี 2568
โดยนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงฮานอย ซึ่งรายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 ประเทศเวียดนามได้ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมูลค่า 12,330 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมทั้งสิ้นกว่า 980 โครงการ
ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับ 2 จาก 93 ประเทศที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม
ส่วนของประเทศไทยนั้น ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 2 จาก 93 ประเทศที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 20 เมษายน 2563 บริษัทไทยเข้าไปลงทุนในเวียดนามมูลค่า 1,455 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีโครงการใหม่จำนวน 9 โครงการ มูลค่า 22.27 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการที่เพิ่มมูลค่าการลงทุนจำนวน 3 โครงการ มูลค่า 1,390 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการที่นักลงทุนไทยซื้อหุ้นจากบริษัทเวียดนามจำนวน 56 โครงการ มูลค่า 43.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกัน เวียดนาม ก็ได้นำเข้าสินค้าจากไทยที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนประกอบยานพาหนะ (รถยนต์) เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือและส่วนประกอบ
และเม็ดพลาสติก
โอกาสใหม่ ๆ สำหรับ SMEs ไทย ในตลาดเวียดนาม
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากภาพรวมของการที่เวียดนามมีโครงการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอสังหาริมทรัพย์ การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ประกอบกับนโยบายการส่งเสริมด้านดิจิทัลและนวัตกรรม โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติจากจีนมายังเวียดนาม
ทำให้เวียดนามมีความต้องการสำหรับสินค้าวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตและการก่อสร้างมากขึ้น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก หรือแม้แต่กลุ่มที่พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของเวียดนาม”
งานแสดงสินค้านานาชาติในเวียดนาม ช่องทางของผู้ประกอบการในการสร้างโอกาสเข้าสู้ตลาดเวียดนาม
งานแสดงสินค้าที่น่าสนใจในเวียดนามที่ผู้ประกอบการไทยสามารถสมัครเข้าร่วมงานได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางของผู้ประกอบการ และ SMEs ในการสร้างโอกาสเข้าสู่ตลาดเวียดนาม ได้แนะนำสินค้า รวมถึงแสวงหาคู่ค้า / ตัวแทนจำหน่าย อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการศึกษาตลาด ความต้องการของลูกค้า และสภาพการแข่งขันในเวียดนาม อาทิ
– AUTOMECHANIKA HO CHI MINH CITY 2020 ระหว่างวันที่ 20 – 22 สิงหาคม 2563 งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ ส่วนประกอบอะไหล่ยนต์และอุปกรณ์ซ่อมบำรุง และการดูแลรถ
– PROPAK VIETNAM 2020 ระหว่างวันที่ 9 – 11 กันยายน 2563 งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากพลาสติก เครื่องบรรจุภัณฑ์ ม่านกันอากาศ ตะแกรงเหล็ก และชั้นวางสิ่งของ
– METALEX VIETNAM 2020 ระหว่างวันที่ 8 – 10 ตุลาคม 2563 งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับเครื่องจักรกล อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ และเทคโนโลยีโลหะการที่เกี่ยวข้อง
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และต้องการขอรับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สามารถเข้าร่วมโครงการ SMEs Pro-active หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-
507-7783 หรือ 02-507-7786