การรักษาโรคมะเร็งด้วยยาชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ถือเป็นการแพทย์วิถีใหม่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และบรรเทาความกังวลให้แก่ผู้ป่วย และผู้ดูแลที่ต้องมาโรงพยาบาล
3 แนวทางการทำงานของแพทย์วิถีใหม่ในยุคโควิด-19
“การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลโดยตรงถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานหนักขึ้น แนวปฏิบัติสำหรับการแพทย์วิถีใหม่ที่เราควรนำมาใช้มี 3 ประเด็น
1.การจัดลำดับความเร่งด่วนในการรักษาหรือต้องมาพบแพทย์เพื่อลดจำนวนครั้งที่ต้องมาโรงพยาบาล
2.การปรับวิธีการให้ยาให้สะดวกทั้งแพทย์และพยาบาลเพื่อลดเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด
3. การปรับการดูแลผู้ป่วยนอก ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการให้คำปรึกษาและรักษามากขึ้น เช่นการทำเทเลเมดิซีน”
ซึ่งผศ.พญ.เอื้อมแข สุขประเสริฐ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า
“ในภาวะที่โรงพยาบาลมีทรัพยากรด้านบุคคลากรทางการแพทย์ที่จำกัด การรักษาด้วยยาชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสหรือติดเชื้อไวรัส แต่ยังช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลามากขึ้นในแง่ของการปฏิบัติการเพื่อดูแลผู้ป่วยรายอื่น ๆ ทั้งลดจำนวนการใช้เตียง และความแออัดในโรงพยาบาลลงด้วย”
การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง ประหยัดเวลาที่ต้องอยู่ในรพ.เมื่อเทียบกับการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำได้มากกว่า 50%
ด้านของสมาคมมะเร็งวิทยาแห่งยุโรป (ESMO) ยังแนะนำแพทย์มะเร็งทั่วโลกให้เตรียมพร้อมรับมือกับวิถีการรักษาแบบใหม่ที่รวมไปถึงการทำเทเลเมดิซีนในการดูแลอาการและให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อลดจำนวนครั้งในการมาที่โรงพยาบาลและหากเป็นไปได้แพทย์ผู้รักษาอาจพิจารณาเปลี่ยนวิธีการรักษาเป็นการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังหรือยาชนิดรับประทานแทนการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ
โดยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง คือการฉีดยาระหว่างชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อ
ซึ่งทำให้ใช้ระยะเวลาในการรักษาแต่ละครั้งที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ ทั้งยังมีผลการศึกษาทางการแพทย์ในผู้ป่วยมะเร็งที่ยืนยันว่าการรักษาโดยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเทียบเท่าการรักษาโดยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ ซึ่งการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังสำหรับโรคมะเร็งเต้านม ใช้เวลาเพียง 3.3 นาทีต่อครั้งในขณะที่การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำใช้เวลาในการฉีดยาประมาณ 40-90 นาทีต่อครั้ง
“ผู้ป่วยบางรายที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง 1 ปี วิธีการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง จะช่วยประหยัดเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำได้มากกว่า 50% หรือประมาณ 13 ชั่วโมงต่อผู้ป่วยหนึ่งคน” สำหรับการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งโรคเลือดการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังก็สามารถช่วยลดระยะเวลาในการให้ยาของผู้ป่วยได้มากถึง 74%” และนพ.ชวลิตหล้าคำมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาโรงพยาบาลยันฮียังกล่าวเพิ่มเติมว่า
“การรักษาด้วยวิธีการนี้ ใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างจากการให้เคมีบำบัดแบบปกติ คือมีหัวเข็มที่เล็กกว่า ซึ่งช่วยในเรื่องของความคล่องตัวระหว่างการให้ยา และยังช่วยลดความเจ็บปวด รวมไปถึงการลดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวิธีการรักษา ด้วยการฉีดยาเข้าใต้หลอดเลือดดำด้วย ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในเมืองไทย และตอบรับกับมาตรการเพื่อสุขภาพ และความปลอดภัยได้เป็นอย่างดีในยุคโควิด-19”
ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังรักษาโรคมะเร็ง ความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่รับกับชีวิตวิถีใหม่คนไทย
ปัจจุบันผู้ป่วยในสิงคโปร์สามารถเลือกรับการรักษาที่ศูนย์พยาบาลใกล้บ้านได้แล้ว
โดยการก่อตั้งโครงการ NCIS-on-the-Go ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ทางสถาบันมะเร็งมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์นำทีมพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งออกให้บริการแก่ผู้ป่วยใกล้บ้านเช่นการตรวจเลือดการให้ยารวมถึงยาฉีดเข้าใต้ผิวหนังตามศูนย์ที่ทางสาธารณสุขกำหนดไว้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถลดระยะเวลาการเดินทางมาโรงพยาบาล
ในขณะที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยเทียบเท่ากับการให้บริการภายในโรงพยาบาลนอกจากจะเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วยแล้วการให้บริการแก่ผู้ป่วยใกล้บ้านยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่โรงพยาบาล
โดยกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำสามารถไปรับบริการที่ศูนย์พยาบาลใกล้บ้านของโปรแกรม NCIS-on-the-Go ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ครอบคลุม และทั่วถึง
“ภาระของโรคมะเร็งในสิงคโปร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น และอุบัติการณ์ที่มากขึ้นของมะเร็งบางชนิด อย่างไรก็ตามการพัฒนาของการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันทำให้ผู้ป่วยสามารถมีอายุที่ยืนยาวยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความต้องการที่สูงขึ้นในการดูแลรักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุม เข้าถึงได้ง่าย และสะดวกสบาย” ศาสตราจารย์ ลี ซู ชิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา จากสถาบันมะเร็ง มหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ (NCIS) กล่าวว่า
“โปรแกรม NCIS-on-the-Go นี้เกิดขึ้นเพื่อสนองต่อกลยุทธ์การพัฒนาระบบสาธารณสุขให้มีความยั่งยืนของกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วยในประเทศ โดยเรามีแผนการที่จะเพิ่มสถานที่ และขยายตัวเลือกการรักษาในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น”
ซึ่งยาบางชนิดสำหรับรักษาโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ที่สามารถให้ได้ด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง นับเป็นความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์ที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่สำหรับคนไทย และผู้คนทั่วโลก โดยผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาดังกล่าวได้ด้วยการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน Roche Thailand หรือโรงพยาบาล