บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ระบบรถไฟฟ้าล้อยาง (Tram Bus)
รถไฟฟ้าล้อยางครั้งแรกในไทย เชื่อมสถาบันการศึกษา กับระบบขนส่งมวลชนหลัก
นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นับเป็นก้าวสำคัญที่บริษัทฯ ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำระบบรถไฟฟ้าล้อยาง (Tram Bus) มาใช้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะระบบรางขนาดรอง เชื่อมต่อพื้นที่ภายในสถาบันการศึกษา กับระบบขนส่งมวลชนหลัก รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีลาดกระบัง
รวมถึงเป็นการนำความรู้และประสบการณ์ทางระบบรางที่มีมามากกว่า 20 ปี มาใช้ ผนวกกับความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะ ระบบ E-Payment และ Non-Payment ผ่านบัตรแรบบิท ที่สามารถเชื่อมต่อกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และจะทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ เข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่จากประสบการณ์จริง
นอกจากนี้ยังจะเป็นโอกาสอันดี ที่ทางบริษัทฯ จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชน และระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานด้านดิจิทัลอื่นๆ กับ สจล. ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีองค์ความรู้ มีผลงานวิจัยมากมาย และยังสามารถนำมาใช้ในการศึกษาเพื่อนำไปสู่การเรียนการสอนในชั้นเรียนได้อีกด้วย
เล็งให้บริการใน 2 เส้นทางย่านลาดกระบัง
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับการศึกษารูปแบบ “ระบบรถรางไฟฟ้าล้อยาง” (Tram Bus) ในเบื้องต้นบริษัทฯได้ศึกษาเส้นทางที่มีความเป็นไปได้ไว้จำนวน 2 เส้นทาง
เส้นทางที่ 1 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จากสถานีลาดกระบัง – หัวตะเข้ ระยะทาง 4 กิโลเมตร ประกอบด้วย 3 สถานี ได้แก่ สถานีลาดกระบัง สถานีพระจอมเกล้า และสถานีหัวตะเข้
เส้นทางที่ 2 วิ่งรอบภายในพื้นที่ของสถาบัน และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
รองรับผู้โดยสารได้ถึง 250 คน/ขบวน ใช้ความเร็วสูงสุด 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง
โดยรถรางไฟฟ้าล้อยาง จะเป็นระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ที่ได้รับความนิยมใช้ตามเมืองหลวงต่างๆ ในต่างประเทศ มีลักษณะคล้ายรถโดยสารทั่วไปแต่จะทันสมัยกว่า และมีการพ่วงตู้โดยสาร โดยในรถ 1 ขบวนจะมี 3 ตู้ ซึ่งจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 250 คนต่อขบวน ใช้ความเร็วได้สูงสุด 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีมลพิษเนื่องจากใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน
ในส่วนของ 2 เส้นทางที่ศึกษาไว้เบื้องต้น จะต้องใช้รถรางไฟฟ้าล้อยาง จำนวน 4 ขบวน ในการให้บริการ ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอรองรับการเดินทางของผู้โดยสารที่ใช้บริการ ภายในสถาบันฯ และประชาชนทั่วไป โดยรูปแบบการใช้บริการสามารถใช้บัตรแรบบิทในการเดินทาง และสามารถเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา และหากสามารถนำไปสู่การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปได้จะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 ปี โครงการนี้จึงจะเสร็จสมบูรณ์ และเป็นระบบรถรางไฟฟ้าล้อยางแห่งแรกที่จะวิ่งในสถาบันการศึกษาของประเทศไทย และจะเป็นต้นแบบให้กับโครงการอื่นๆ ที่จะมีต่อไปในอนาคตได้
ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักศึกษา ให้สะดวกสบายทั้งด้านการเดินทาง การใช้ชีวิตประจำวัน
ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเป็นเลิศทางด้านธุรกิจระบบขนส่งสาธารณะทางราง สื่อโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ และผู้นำทางด้านเทคโนโนโลยี ด้านการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่นั้น ทั้ง 2 บริษัทฯ จะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักศึกษาให้มีความสะดวกสบาย ทั้งด้านการเดินทาง การใช้ชีวิตประจำวันให้ดียิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการเดินทางสัญจรภายในบริเวณสถาบันฯ และเขตชุมชนใกล้เคียง ปัจจุบันเป็นปัญหาอย่างมากเนื่องจากมีทางรถไฟวิ่งผ่านกลางสถาบันฯ มีผู้โดยสารเดินทางมาขึ้น – ลงจำนวนมาก ประชาชนนำรถยนต์ส่วนตัวออกมาขับขี่ แทนการใช้ระบบขนส่งมวลชน ทำให้ในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า – เย็น เกิดปัญหาจราจรติดขัดเป็นเวลานาน ก่อให้เกิดการสะสมมลพิษ ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมภายในสถาบันฯ สุขภาพของนักศึกษา และประชาชนทั่วไปอีกด้วย
ใช้เป็นระบบขนส่งมวลชนหลักในการเดินทางของนักศึกษา และบุคคลากรภายในสถาบันฯ
จากปัญหาข้างต้น บีทีเอส ได้เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาโดยการศึกษาเส้นทาง “ระบบรถรางไฟฟ้าล้อยาง” (Tram Bus) เพื่อใช้เป็นระบบขนส่งมวลชนหลักในการเดินทางของนักศึกษา และบุคคลากรภายในสถาบันฯ ในการเดินทางเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่มีอยู่ในปัจจุบัน และลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว แก้ปัญหาจราจร พร้อมทั้งลดมลพิษ ภายในสถาบันฯให้เป็นไปตามนโยบายของทางภาครัฐ และยังสามารถตอบโจทย์ให้กับนักศึกษาซึ่งเป็นวัยรุ่นยุคใหม่ที่เน้นความรวดเร็ว และสะดวกสบายในการเดินทางเป็นหลัก