กว่า 9 ปี 7 เดือน กับการก้าวสู่จุดสูงสุดของ “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลกคนใหม่ ที่เป็นทั้งประวัติศาสตร์และความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้
คุณสมบูรณ์ จุฑานุกาล พ่อของโปรเม ถ่ายทอดแนวคิดในการเลี้ยงลูกให้เป็นนักกอล์ฟอาชีพจนก้าวสู่การเป็นนักกอล์ฟมือ 1 ของโลกว่า รากฐานที่สำคัญ คือ พ่อแม่ ที่ต้องคุยกัน ทำความเข้าใจให้ลงตัวกันก่อน ทำพิมพ์เขียวขึ้นมา แล้วเดินไปตามนั้น พร้อมกับสร้างสิ่งสำคัญให้เกิดขึ้นคือความแข็งแรง และวินัย โดยไม่ได้มุ่งเน้นไปที่เรื่องการเรียน
พ่อแม่ต้องเป็นหลักให้ลูก
“สำหรับผมพ่อแม่สำคัญที่สุด ต้องเทคแคร์เขา ตั้งแต่เล็กที่เขาวิ่งผมก็วิ่งด้วย ไปซ้อมที่สนามกอล์ฟยืนตากแดดบนกรีนกับโค้ช ผมก็ยืนอยู่ด้วยเพื่อดูว่าจะแก้ไขอะไร ผู้ปกครองต้องทำอย่างนี้ พ่อแม่สำคัญสุด ใครมองข้ามไม่ได้ ผมถือว่าโค้ชยังสำคัญสู้พ่อแม่ไม่ได้เลย เป็นความเข้าใจผิดตั้งแต่ต้นที่ไปให้ความสำคัญกับโค้ช เอาเงินไปให้เขาเยอะๆ เมื่อคุณให้ความสำคัญกับโค้ช แล้วคุณจะเคี่ยวเข็ญลูกสักเท่าไรกัน คุณต้องทำเอง เพราะเราไม่ใช่สร้างเด็กนักเรียนธรรมดาที่ไปเรียนหนังสือ จบมหาวิทยาลัย แล้วทำงาน เราทำให้เขาเป็นนักกีฬาเพื่อเป็นเลิส”
เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องแข็งแกร่ง ต้องกล้าตัดสินใจตั้งแต่แรก ช่วยคิด ช่วยหาวีธีสนับสนุนลูก เปรียบเหมือนการสร้างตึกสูงๆ ที่ฐานรากต้องใหญ่และแข็งแรงมาก หากจะให้ลูกโด่งดังขึ้นไปสูงๆ แต่ไม่ทำให้แข็งแรงจะไปถึงไหม เหมือนสร้างบ้านแค่ 2 ชั้น สวยแต่ก็คือเล็ก จะเอาบ้าน 2 ชั้นทำเป็น 5 หรือ 8 ชั้นไม่ได้จะถล่มเพราะรากฐานไม่แข็งแรง นี่เปรียบเทียบให้เห็นว่าฐานรากสำคัญ เพราะฉะนั้นต้องสร้างความแข็งแกร่ง และวินัย ซึ่งเป็นรากแก้วที่ไม่มีคือจบ จะแข็งแรงแต่ขาดวินัยก็ไม่ได้
แล้วไม่เน้นเรียนทางวิชาการ
ผมไม่เน้นที่การเรียนเลย แล้วผมผิดตรงไหน ผมขอความร่วมมือจากทางโรงเรียน ให้เรียนแค่ครึ่งวันเช้า ตอนบ่ายและเย็นก็จะเป็นช่วงของการซ้อมกีฬา ผมจะอยู่ด้วยตลอด ดูแลตารางการซ้อมและอาหาร แล้วเน้นเรียนเสริมภาษาอังกฤษ เสาร์-อาทิตย์ ก็ให้เล่นกีฬา เพื่อไม่ให้มีวันหยุด เน้นให้ออกกำลังกาย ทำทุกอย่างให้ร่างกายแข็งแรง เมื่อแข็งแรง หัวสมองจะปรอดโปร่ง ซึมซับอะไรทุกอย่างได้ง่ายหมด ผู้ปกครองทั่วไปคิดว่าต้องเน้นการเรียน เด็กจะได้ไม่ลำบาก ไม่ตกงาน เลยต้องเรียนไปด้วยซ้อมกอล์ฟไปด้วย ไม่มีเวลาทำให้ร่างกายแข็งแรง พอจะทำให้แข็งแรงก็จะเหนื่อยมาก ให้เรียนไปด้วยและถือว่าการซ้อมกอล์ฟคือได้ออกกำลังกาย ซึ่งไม่พอ ทำให้ไปไม่ถึงดวงดาว เหมือนกับเหยียบเรือสองแคม คุณจะไม่มีทางไปได้ ต้องทิ้งด้านหนึ่งเลือกข้างหนึ่ง จะให้เรียนเก่งก็เน้นเรียน จะให้เป็นนักกีฬาก็ส่งเสริมให้เป็นนักกีฬา
ต้องดูว่าเด็กชอบหรือถนัดอะไรแล้วส่งเสริม
เข้าใจผิดแล้ว พ่อแม่ถนัดอะไรก็ให้เขาทำอย่างนั้น ผมเป็นกอล์ฟแม้ไม่ใช่มืออาชีพแต่ก็ศึกษาและดูแล้วว่าเป็นไปได้ จะทำอย่างอื่นผมก็ไม่เอาเพราะตั้งใจให้เป็นนักกีฬากอล์ฟ ผมเลือกและก็วางแผนเลย กีฬาอื่นๆ ก็ให้เล่นเพื่อเป็นส่วนประกอบที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง
ไม่สนใจเรื่องพรสวรรค์
ผมไม่เชื่อเรื่องพรสวรรค์ ผมถือว่าพรแสวงคือของจริง ความมุ่งมั่นคือตัวเค้า แต่พ่อแม่ต้องเอาจริง ต้องไม่ย่อท้อ พ่อแม่ต้องเป็น Unity ทำทุกอย่างตามที่วางไว้ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะตกงาน ทุกคนพูดถึงพรสวรรค์ แต่ของผมคือพรแสวงที่มาจากตัวเอง
หลักคิดผมคือต้องแข็งแรงไว้ก่อน แล้วตามด้วยวินัย ทั้งสองอย่างนี้ต้องคู่กัน คนที่มีวินัยก็จะมีความอดทนเพราะต้องทำซ้ำๆ สิ่งเหล่านี้คุณต้องสร้าง พระเจ้าไม่ให้คุณหรอก ถ้าให้ลูกเล่นแต่เกมส์ จะแข็งแรงตรงไหน มีวินัยตรงไหน พระเจ้าเกี่ยวไหม ไม่เลย คนที่รอดูว่ามีพรสวรรค์แล้วปล่อยตามธรรมชาติ คิดทำไปเรื่อยๆ แบบสบายใจ ไม่มีใครบังคับ จะแข็งแรงไหม เมื่อถึงเวลาต่อสู้ก็จะไปไม่ถึง ไปได้ 2 ก้าวแล้วถอยมา 3 ก้าว ในที่สุดคือเสียเงินเหมือนกันแต่ไม่สำเร็จ ถ้าทุกคนทำแบบผมจะมีแบบเอรียาก้าวขึ้นระดับโลกอีกเยอะ แต่ปัญหาคือกล้าไหม น้อยคนที่จะกล้า เพราะถูกหล่อหลอมมาตลอดว่าอย่าเสี่ยง ต้องทำไปทั้ง 2 อย่าง พลาดกีฬาก็ยังทำงานได้
เกิดเป็นความกดดันที่ตัวเด็กไหม
เราเข้าใจผิดกันไปเยอะ ด้วยหลักสงสาร กลัวเด็กจะลำบาก จะเหนื่อย ตรงนี้ผมปฏิวัติหมดเลย ถ้าเราฝึกเขา เขาจะคุ้นเคย เคยชิน ทำเป็นประจำ ก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก ความคิดแบบเก่าจะทำให้ไม่ได้นักกีฬาที่ดี คุณต้องวางแผนตั้งแต่เขาเล็กๆ เลยว่าจะให้เป็นแบบนี้ แล้วเดินไปตามขั้นนี้ แต่ส่วนมากจะเข้าใจว่าดูว่าเด็กชอบอะไรแล้วค่อยทำ เป็นความคิดแบบโบราณ อย่าไปคิดว่าเขาจะเจ็บ จะน่าสงสาร เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า วัยเด็กคือะไร คือ เล่น วิ่งเล่นหรือ การวิ่งตอนเช้า ว่ายน้ำตอนเย็นก็มีความสนุกมีเพื่อนได้ คุณมองกันว่าเป็นการบังคับไปซะหมด ทั้งที่เขาสนุกในทุกวัน
สิ่งที่ผมทำก็ไม่ได้บังคับนะ ผมทำเพราะผมรักเขา ก็บอกเขา ขอให้เขาทำตาม สร้างวินัยให้เกิดสม่ำเสมอ ทำไปเขาก็จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรแปลกกว่าเด็กคนอื่น และยิ่งทำก็จะยิ่งแข็งแกร่ง แล้วใครจะได้รับนอกจากตัวเขา ไม่ต้องถามว่าเด็กจะเป็นยังไง คุณรักเขาอย่างเดียวพอแล้ว สิ่งที่ทำให้ตั้งแต่เด็กๆ เป็นความรักไม่ใช่ความเกลียด สร้างให้ฝังลึกตั้งแต่เด็กก็จะทำได้เรื่อยๆ
“ความคิดของผมมันนอกกรอบจริงๆ นี่คือความคิดผม เขาจะทำสำเร็จขนาดนี้หรือถ้ามีพ่อโง่ๆ เราทุ่มเทกัน เพราะรู้ว่าสำเร็จจึงกล้าทุ่มเท กล้าขายบ้าน กล้าขายรถ ก็ไม่ได้ตั้งใจขายตั้งแต่แรก แต่เพราะเห็นผลที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ควรที่จะแลก ไปอเมริกาแข่งกับฝรั่งแล้วผลใช้ได้ ดีขึ้นเป็นขั้นๆ ซึ่งแต่ละขั้นก็ต้องใช้เงิน ตัวผมเองเป็นนักกอล์ฟมือสมัครเล่น ไม่ได้เก่ง แต่กล้าตัดสินใจ”
แนวคิดนี้ใช้ได้กับทุกวงการกีฬา
ผมไม่รู้ แต่ถ้าถามผมทุกประเภทก็ต้องแข็งแรงมาก่อน อย่างกอล์ฟนี่ผมชำนาญมาก สร้างมาขนาดนี้แล้วคนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมทำถูก เมื่อก่อนนี้มีแต่คนว่าผมนะ ญาติๆ ก็ว่าผมว่าบ้าหรือเปล่าการงานไม่ทำ มาช่วยลูกทำอะไรขนาดนี้ มีแต่คนเขาซื้อบ้านแต่ผมขายบ้านขายรถ เพราะผมเชื่อมั่น จึงมาถึงจุดนี้ได้ และแม้จะมาไม่ถึงจุดนี้ถึงแค่ครึ่งหนึ่งก็พออยู่กันได้สบาย เพราะผมได้ศึกษาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ บวกกับรากฐานความแข็งแรงของร่างกายและวินัยที่สร้างไว้
“เราเริ่มจากศูนย์ คนที่มาตำหนิผมถือว่าเขาไม่รู้ เขาจะมารู้เท่าเราได้อย่างไร แต่เราก็บอกเขาไม่ได้ เพราะผลสำเร็จยังไม่เกิด เวลามีใครมาตำหนิผมจะบอกว่าคุณไม่รู้จักผมจึงพูดแบบนี้ แล้วสักวันหนึ่งคุณจะรู้จัก และตอนนี้ผมกล้าพูดกล้าว่าด้วย เพราะได้เห็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้ว มาถึงอันดับ 1 ของโลก ผมรู้ว่าเป็นเรื่องจริง”
วางเป้าหมายถึงระดับโลกตั้งแต่แรก
ผมคิดว่าต้องเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่จะเป็นที่หนึ่งของโลกไหมตอนแรกไม่รู้ คิดแต่ว่าต้องเข้าไปเล่นทัวร์นาเม้นที่สำคัญที่สุด มีรายได้มากที่สุด แล้วก็ไปให้ถึงตรงนั้น แต่มา 2-3 ปีหลังๆ เรารู้แล้วว่าเขาจะไปถึง เพราะร่างกายที่ใช่ และสำคัญที่วินัยที่สร้างไว้
กว่าจะมาถึงจุดนี้ให้กำลังใจกันอย่างไร
ผมไม่ได้พูดอะไรมาก ผมเป็นคาทอลิกล์ ก็จะบอกว่าพระเจ้าอวยพรนะ อธิษฐานถึงพระเจ้าบ้างนะ ไม่มีตำหนิ แต่ก็ไม่ได้ชมหรือเชียร์เยอะ ถ้าแข่งไม่ชนะก็จะบอกให้ลองแมชต์หน้า ชนะก็บอก Congratulation และอย่าลืมขอบคุณพระเจ้าด้วย คนอื่นทำอย่างไรไม่รู้ อย่าเอาผมเป็นมาตรฐานตรงนี้นะ บางคนอาจต้องพูดยาวๆ แต่ผมไม่พูดยาว เรื่องจะดุว่าอะไรก็มี แต่ผมทำตั้งแต่เขาเล็กๆ คนไทยเข้าใจผิดไม่กล้าตีเด็ก ต้องตีตั้งแต่เล็กๆ เพราะเกิน 10 ขวบตีไม่ได้แล้ว เขาเริ่มคิดเป็น จะเตลิด แต่ตอนเล็กๆ อยู่กับเรา เราก็บอกเขาว่าสิ่งนี้ดีถ้าไม่ทำ บอกแล้วบอกอีกยังไม่ทำก็ต้องตีเท่านั้นเอง เพราะเขาไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างนี้ แต่เรารู้ ถ้าปล่อยไปก็จะไม่มีวันนี้ พ่อแม่ต้องเข้มแข็ง ต้องรักจริงๆ ไม่ใช่รักแบบสบายๆ วันนี้เหนื่อยก็ไม่ยุ่งกับเธอแบบนี้ไม่ได้ โตแล้วก็ไม่ควรดุต้องคุยกันด้วยเหตุผล แต่เล็กๆ จะปล่อยผ่านไม่ได้ อย่างเอรียาก็โดนตีบ่อย ตัวเขาเองก็ไม่ได้เครียด ตอนนี้ก็มีความสุข
ที่ทำมาเป็นแนวคิดไม่เหมือนใคร
ยอมรับว่าความคิดผมฉีกแนวมาก และก็สำเร็จด้วย ก็น่าจะเป็นหลักที่ใช้ได้ ถึงตอนนี้ผมจะกลับมาพักหลายปีแล้ว แต่ก็คอยดูผลงานอยู่เสมอ มีทั้งดีขึ้นและแย่ลง แต่เมื่อเรามีครบทุกอย่างแล้ว ทั้งร่างกายแข็งแรง จิตใจดี มีวินัย ก็จะไปต่อไปได้ มีขึ้นบ้างลงบ้างผมไม่ได้ตำหนิอะไร และเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ผมรู้ว่าลูกผมเก่งเพราะเราวางพื้นฐานไว้ดีมาก ผมเองยังไม่เชื่อเลยว่าเขายังไปต่อได้ นั่นแสดงว่าเขาซึมซับสิ่งที่ทำมาตลอดไว้ และทำอยู่เป็นประจำ เมื่อถอยกลับก็ไม่มีอะไรทุกข์ร้อน แล้วเริ่มต้นอีกครั้ง การวางรากฐานแบบนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก อย่าไปกลัว และต้องทำให้ตลอด
พ่อแม่ต้องเอาแผนไปคิด แต่ก็มีที่กังวลอยู่ว่าพ่อแม่ตั้งใจจริง แต่ลูกถูกสิ่งแวดล้อมซึมซับไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้สร้างยากมากกว่าสมัยสอนเอรียาเยอะ เพราะโซเชียลรุนแรง มีสิ่งดึงดูดเยอะมาก ต้องเน้นไปที่การสร้างความแข็งแกร่ง เมื่อคนเราแข็งแกร่งแล้ว ความคิด สติปัญญาจะดี จะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ควรยุ่ง ต้องเริ่มกันตั้งแต่เล็กอันนี้ผมขอยืนยันเลย
ไม่หวงแนวคิดนี้
ผมยินดีที่จะถ่ายทอดให้ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่อ ผมจะเป็นที่ปรึกษาให้ จะอธิบายวิธีของผมให้ลงลึกที่สุด และจะคอยติดตามให้คำแนะนำ ไม่มีปิดบัง เพราะผมอยากให้มีนักกีฬาแบบเอรียาเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันคน ไม่ใช่ว่าลูกผมเก่งแล้วคนอื่นอย่ามาเก่ง ไม่ใช่ ให้มีคนเก่งเยอะๆ ดีแล้ว เพราะเราจะยืนให้ได้ตลอดก็ไม่ได้อยู่แล้ว อายุจะบังคับเรา ต้องมีคนใหม่ขึ้นมาตลอด นี่เป็นความคิดผม ผมได้เริ่มถ่ายทอดแนวคิดผ่านกลุ่มจุฑานุกาลกอล์ฟที่มีสมาชิกประมาณ 80 คนแล้ว และไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยมหิดลด้วย โดยเขาวิจัยว่าการทำนักกีฬาเป็นเลิศในแนวทางของผมใช่ไหม ซึ่งคำตอบอยู่ที่ผลงานที่เห็นอยู่แล้ว ใครที่สนใจก็เข้ามาพูดคุย หรือติดต่อสอบถามกับผมได้เลย
[English]
Somboon Jutanugarn, Architect of Road to World’s No.1 Female Golf
For more than nine years that Ariya Jutanugarn, the world’s current No.1 female golfer, has spent on working hard to write a new history for Thailand, her father — Somboon Jutanugarn — is undeniably the one responsible for her success.
Somboon attributed Ariya’s achievement to the clear understanding between his wife and him about their daughter’s future, since she was very young, and to the focus on her strength and discipline, not academic performance.
“To me, parents are the most important people,” said Somboon. “I believe coach is less important than parents and it’s a misunderstanding to emphasize on the coach and pay them a lot of money.”
While disagreeing with many parents’ decision to let their children decide on what they would like to do, Somboon said that it’s the parents who are to plan and put their children on the course toward any goal. He also believes in “acquired skills” and not “gifts” and in the parents’ unity to push hard with the plan they’ve agreed on while, again, working hard to achieve physical strength and discipline.
“We’ve all misunderstood and been clouded by sympathy and worries that children will have a hard time or be too exhausted,” said Somboon. “I rebelled against that. If we train them, they will get used to it and familiarized with the routines. Then, it’s nothing hard anymore.”
And as he believes all he has done was out of the box, Somboon said that he has done everything out of love for his daughter.
“We’ve been really dedicated and committed,” said Somboon. “Because I know she would be successful, I dared to commit, to sell our house and our car (to get money to finance Ariya’s trips to tournaments) … improving results convinced me that it’s worthwhile.