Wednesday, May 24, 2023
More

    ชีวิตและผลกระทบหลังเหล้า-บุหรี่ขึ้นราคา

    หลังจากที่ พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิตใหม่ มีผลบังคับใช้เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตามด้วยการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต  จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า มูลค่าสินค้าน้ำเมาและยาสูบมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ผลที่ตามมาคือบรรดานักดื่มและสิงห์อมควันต้องปรับตัวรับอย่างเลี่ยงไม่ได้

    คนกรุงต้องจ่ายหนักแค่ไหน 
    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ กรมสรรพสามิต ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 เป็นการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ มุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบ โดยใช้ราคาขายปลีกแนะนำมาเป็นฐานในการคำนวณภาษี จึงจำเป็นต้องกำหนดอัตราภาษีใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับฐานภาษีที่เปลี่ยนแปลงไป แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

    แต่หลังจากที่มีกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ออกมาในวันดีเดย์ พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิตใหม่มีผลบังคับใช้พอดี กลับพบว่าราคาสินค้าประเภทสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และบุหรี่ มีทั้งพุ่งสูงขึ้น และปรับลดลงบ้างเล็กน้อย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคงไม่มีผู้ประกอบการแบกรับภาษีแต่ฝ่ายเดียว ฉะนั้นแล้วผู้บริโภคก็ย่อมหลบหลีกผลกระทบไม่พ้น


    ส่งผลให้ราคาสินค้ามีการเปลี่ยนแปลง โดยราคาบุหรี่ราคาต่ำกว่า 60 บาท ปรับขึ้นซองละ 4-15 บาท บุหรี่ราคาสูงกว่า 60 บาท ปรับขึ้นซองละ 2-14 บาท ขณะที่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ประเภทเบียร์ ปรับขึ้นเพิ่มขึ้น 0.50-2.66 บาท สุรากลั่นในประเทศเพิ่มขึ้น 8-30 บาท สุรากลั่นนำเข้าลดลง 3-26 บาท ไวน์นำเข้าราคาปลีกแนะนำไม่เกิน 1,000 บาท ปรับขึ้น 25 บาท และไวน์นำเข้าราคาปลีกแนะนำเกิน 1,000 บาท ปรับขึ้น 110 บาท

    จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าวัยทำงาน (25-59 ปี) เป็นกลุ่มที่สูบบุหรี่สูงที่สุด โดยมีปริมาณเฉลี่ยต่อวันคือ 11.9 มวน ซึ่งภายหลังจากมีการปรับราคาใหม่ ประมาณการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของสิงห์อมควัน ผู้นิยมสูบบุหรี่ไทยราคาต่ำกว่า 60 บาท อยู่ที่ 1,080 บาทต่อเดือน เพิ่มจากเดิม 360 บาท หากสูบบุหรี่ไทยราคาสูงกว่า 60 บาท อยู่ที่ 1,710 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 162 บาท ส่วนบุหรี่นอกราคาต่ำกว่า 60 บาท อยู่ที่ 1,080 บาทต่อเดือน ลดลงจากเดิม 216 บาท บุหรี่นอกราคาสูงกว่า 60 บาท ยังคงอัตราเดิม

    สำหรับประมาณการค่าใช้จ่ายของนักดื่ม พบว่าคอเบียร์ หากคิดดื่มวันละ 3 ขวด อยู่ที่ 180 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดิม 18 บาท หากว่าดื่มทุกวันจะเป็นเงินถึง 5,400 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 540 บาท ส่วนสุราในประเทศ อยู่ที่ 283-450 บาทต่อขวด เพิ่มขึ้นจากเดิม 20-30 บาท ทั้งนี้ ขณะนี้ราคาสุรานำเข้าและเบียร์นำเข้ายังคงอัตราเดิมอยู่ 

    ขณะเดียวกัน สำนักงานสถิติแห่งชาติเคยได้สำรวจพฤติกรรมการดื่มสุราเมื่อปี 2554 โดยระบุว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนข­องนักดื่มในกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่าย 1,376.42 บาทต่อเดือน แต่ในเวลานี้อาจพุ่งสูงขึ้นไปถึง 2,00-3,000 บาทต่อเดือน

    ผู้ค้ายาสูบหวั่นบุหรี่เถื่อนทะลัก
    ด้านสมาคมการค้ายาสูบไทย ได้ออกมาแสดงความกังวลใจถึงเรื่องภาษียาสูบภายใต้ พ.ร.บ. สรรพสามิตใหม่ ที่กำหนดราคาไว้ในระดับที่สูงมาก จึงอาจเป็นแรงจูงใจทำให้มีปริมาณบุหรี่หนีภาษีเข้ามาในประเทศมากขึ้น อีกทั้งการขึ้นราคานั้นส่งผลให้นักสูบหันไปหาบุหรี่หนีภาษีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้และเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพแก่ประชาชน

    โดยตัวเลขจากผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต โดยสำนักตรวจสอบป้องกันและปราบปราม กรมสรรพสามิต พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2560 มีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่จำนวนทั้งสิ้น 8,429 ราย ส่วนผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสุรามีจำนวนทั้งสิ้น 16,564 ราย (ไม่ได้นับรวมเดือนพฤษภาคมที่ไม่มีการเผยข้อมูล) ซึ่งหากเทียบสถิติช่วงเวลาเดียวกันกับเมื่อปีที่ผ่าน พบว่าปีนี้มีจำนวนผู้กระทำผิดสูงกว่า เมื่อเทียบกันแบบเดือนต่อเดือนอีกด้วย

    รัฐเล็งเก็บภาษีเหล้าบุหรี่เพิ่ม
    กรมสรรพสามิตหวังว่าการปรับภาษีครั้งนี้จะทำให้ภาพรวมของการจัดเก็บภาษีที่จะเข้าสู่รัฐเพิ่มขึ้นปีละ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 5 พันล้านบาท และยาสูบ ประมาณ 2.1 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าจัดเก็บภาษีจากสินค้า 2 ประเภทที่กล่าวมา ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้ารัฐเกินกว่าครึ่งของภาษีที่กรมสรรพสามิตตั้งเป้าจัดเก็บจากสินค้าทุกชนิด

    อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตั้งแต่อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่มีผลบังคับใช้ ยังไม่พบปัญหาที่น่าเป็นห่วง โดยที่ขณะนี้ผู้ประกอบการได้เริ่มส่งราคาขายปลีกแนะนำ ที่จะใช้เป็นฐานการคิดภาษีใหม่มายังกรมสรรพสามิตแล้ว โดยจะต้องชำระภาษีทุกวันที่ 15 ของเดือน นอกจากนี้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ได้ตั้งศูนย์เพื่อตอบข้อซักถาม
ผู้ประกอบการให้เสียภาษีให้ถูกต้อง เนื่องจากมีการเปลี่ยนฐานราคาเก็บภาษี อย่างไรก็ตามจะไม่กระทบกับการกำหนดราคาของร้านค้าปลีกแต่อย่างใด ดังนั้นร้านค้าปลีกสามารถกำหนดราคาได้ตามปกติ หลังจากซื้อสินค้ามาจากร้านค้าส่งหรือจากโรงงานผลิต

    ขณะเดียวกันกรมสรรพสามิตได้มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการ พ.ร.บ. กรมสรรพสามิต เพื่อชี้แจงการปรับปรุงกฎหมายสรรพสามิตฉบับใหม่ และเพื่อตอบข้อซักถามและให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-2415600-18 ต่อ 50601-12 หรือสายด่วน 1713

    ปชช.มองว่าขึ้นภาษีบาปไม่ใช่ทางออก
    หลังจากมีกระแสทั้งในเชิงบวกและลบจากผู้ประกอบการและในหมู่ผู้บริโภค Sanook! Poll จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์ ในหัวข้อ เห็นด้วยหรือไม่? กำหนดอัตราภาษีสินค้าประเภทสุรา ยาสูบ และไพ่ พบว่า ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ โดยมองว่ารัฐบาลควรปรับปรุงเรื่องบริหารงบประมาณมากกว่า รวมไปถึงการขึ้นภาษีจะกระทบต่อคนรายได้น้อย 

    ขณะที่ผู้เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ เพราะมองว่าดีกว่าให้รัฐบาลไปขึ้นภาษีกับสินค้าประเภทอื่นๆ ที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และช่วยลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ลง

    จากผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าการขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าประเภทสุรา ยาสูบ และไพ่ ยังไม่ใช่ทางออกในระยะยาว ขณะที่ทางรัฐบาลได้ชี้แจงว่าต้องการปรับโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่คำนึงถึงสุขภาพของประชาชน โดยมาตรการด้านภาษีและราคานี้เป็นหนึ่งในนโยบายที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ประเทศต่างๆ นำไปใช้ เพื่อช่วยลดจำนวนผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ให้น้อยลง 

    ที่สุดแล้วจากการขึ้นราคาสินค้าตามภาษีใหม่ ย่อมกระทบกับกระเป๋าเงินของ
ผู้บริโภค ที่ต้องหาทางปรับตัวรับตามอย่างไม่มีทางเลี่ยง ซึ่งมีหลากหลายแนวทางในการเลือกปรับตัว ทว่าเรื่องที่ชวนคิดตามคือปัญหาของหนีภาษี ที่ภาครัฐเล็งว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเข้ามาขจัดให้หมดไป ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสามารถเป็นไปอย่างที่ว่าได้หรือไม่ 


    เอกณัฐ ถนอมปกรณ์ ผู้บริโภค
    “การขึ้นภาษีเหล้าและบุหรี่ มีผลกระทบการใช้ชีวิตระดับหนึ่ง ด้วยความที่เป็นคนสูบและคนดื่มอยู่แล้ว ทำให้การใช้จ่ายเรื่องบุหรี่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องมากขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้ก็กำลังคิดว่าจะปรับตัวเองอย่างไรดี ซึ่งแบ่งทางเลือกเอาไว้เป็นสองทาง คือ 1. เลิกสูบบุหรี่ แต่ยังคิดที่จะดื่มอยู่ ก็อาจจะดื่มน้อยลง หรือเฉพาะบางโอกาสเท่านั้น และ 2. ถือโอกาสเลิกทั้ง  2 อย่างไปเลยก็ได้”

    ชัยยศ โอฬารสกุลวงศ์ ผู้บริโภค
    “คิดว่าการขึ้นภาษีสุราและยาสูบ จะไม่ช่วยทำให้ลดจำนวนนักสูบนักดื่มแน่นอน เพราะถ้าติดบุหรี่ หรือดื่ม หรือเที่ยวเป็นประจำ ต่อให้ขึ้นภาษีแล้วขึ้นภาษีอีก ก็ยังคงหาซื้อเพื่อมาสูบมาดื่มอยู่ดี บางคนที่มีรายได้น้อยอาจเปลี่ยนยี่ห้อ เพื่อลดค่าใช้จ่ายลง ไม่ก็คงซื้อสินค้าหนีภาษี ถ้าราคาต่ำกว่าของถูกกฎหมาย ผมว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ซึ่งควรไปเคร่งครัดกับการตรวจสอบร้านค้า เพราะยังขายให้กับเยาวชนที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ สำหรับผม คงมีผลกระทบบ้าง เพราะสูบและดื่มบ้างบางโอกาส คงใช้วิธีลดจำนวนลง หรือเปลี่ยนยี่ห้อที่ถูกกว่า”

    [English]
    Drinkers and Smokers to Get Used to Paying More for Booze and Cigarettes
    Drinkers and smokers in Thailand are now to dig deeper into their pockets after the new Excise  Act came into effect in September. And according to the Excise Department, the amended law is intended to boost the efficiency of the tax collection system while causing no impact on the public.  

    However, a survey found that prices of cigarettes previously priced below 60 baht a pack have gone up between four and 15 baht, while those that used to cost more than 60 baht saw their prices increased by between two and 14 baht.  Meanwhile, prices of beer rose between 0.50 baht and 2.66 baht a bottle or a can just when drinkers have had to pay between eight and 30 baht more for local distilled spirits, 25 baht more for a bottle of imported wines that cost less than 1,000 baht and 110 baht more for a bottled of imported wines that used to sell at more than 1,000 baht.

    The Thai Tobacco Trade Association was among those who have expressed concerns that higher prices may lead to an influx of smuggled cigarettes and smokers’ decision to switch — a scenario that will just lead to the government’s revenue loss and higher health risks for the public.

    But, while the Excise Department said that it has not come across any problem since the amended law was in effect and is expecting the new tax structure to bring in another 12 billion baht in revenue each year, Sanook! Poll’s latest online survey found more people who oppose than those who support the new law.