Thursday, May 25, 2023
More

    เผย GEN Z เกือบครึ่ง ใช้จ่ายผ่าน e-Wallet ทุกวัน

    สังคมไร้เงินสด ในประเทศไทยเริ่มปูพื้นฐานมาพร้อมๆ กับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยมีการนำยุทธศาสตร์ต่างๆ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้ และเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น สำหรับในกลุ่มนักศึกษา ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม GEN Z ได้มีการนำยุทธศาสตร์สำคัญ 2 ประการ มาปรับใช้และพัฒนา ได้แก่ National Digital ID และ National e-Payment ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการ Integrate เทคโนโลยีเข้าไปในบัตรประจำตัวนักเรียน/นักศึกษา (Student Smart ID Card) เชื่อมโยงฐานข้อมูลส่วนบุคคล หรือเชื่อมระบบเติม/จ่ายเงิน เข้าไปในบัตรสำหรับใช้แตะจ่ายเงินซื้ออาหาร-เครื่องดื่มที่โรงอาหาร ใช้ซื้อสินค้าในสหกรณ์ หรือใช้หยิบยืมหนังสือในห้องสมุด ก็สามารถทำได้ด้วยบัตรเพียงใบเดียว เป็น Ecosystem หนึ่งของสังคมไร้เงินสดในรั้วสถาบันการศึกษาที่หลายๆ แห่งกำลังพัฒนา และนำมาปรับใช้กันแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งเหมือนและต่างกับแนวทางของต่างประเทศที่เน้นพัฒนาสร้างเป็น e-Wallet เฉพาะให้กับนักเรียน/นักศึกษา อย่าง K12 Student Wallet โดยมอบสิทธิ์การดูแลแก่ผู้ปกครอง ให้ได้มีส่วนพิจารณา และจัดการค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนได้แบบเรียลไทม์

    ซึ่งนอกจาก e-Wallet จะช่วยเพิ่มความสะดวกในเรื่องการใช้จ่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินสดแล้ว ยังสามารถใช้ดูแลความสุขกับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งคนที่เราไม่รู้จักแต่ต้องการความช่วยเหลือด้วยการบริจาค ให้เราสามารถเทคแคร์เรื่องเงินๆ ทองๆ ได้ และยังเป็นการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี มาช่วยปลูกฝังวินัยการใช้เงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ดียิ่งขึ้น ไม่สปอยล์เรื่องการใช้จ่ายในวัยเรียนที่ไม่มีความเหมาะสมและเกินความจำเป็น


    โดยมีผลสำรวจจาก VISA ที่คาดว่าในอนาคตคนไทยจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ เร็วสุดภายใน 3 ปี ขณะที่ผู้บริโภคที่นิยมใช้เงินสดในการทำธุรกรรมทางการเงินมีเพียง 43% โดยมี 42% พกเงินสดน้อยลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ กว่า 60% ของคนที่พยายามใช้เงินผ่านช่องทางดิจิทัลสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้หนึ่งวันโดยไม่ต้องใช้เงินสด และมีจำนวนถึง 45% ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดเลยได้นานกว่า 3 วัน นั่นสะท้อนให้เห็นเทรนด์การใช้จ่ายเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่วันนี้เพียงแตะ สแกน จ่ายเงิน สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การ transform อุตสาหกรรม แต่ยังเป็นการ transform พฤติกรรมการใช้จ่ายตั้งแต่วัยเรียนอีกด้วย

    ขณะเดียวกัน ทรูมันนี่ยังเปิดเผยข้อมูล และสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับผู้ใช้ e-Wallet ที่เป็นกลุ่มนักศึกษา หรือ GEN Z ในช่วงครึ่งปีแรก 2562 (มกราคม – กรกฎาคม 2562) พบว่า กลุ่มนักศึกษาสร้างมูลค่าธุรกรรมต่างๆ บน TrueMoney Wallet ไปแล้วกว่าหลายร้อยล้านบาท ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่โดดเด่น ควบคู่กับการเติบโตของเทคโนโลยีที่จะช่วยผลักดันอีโคซิสเต็มของ e-Wallet ในประเทศไทยให้เติบโตต่อเนื่อง จนอาจนำไปสู่การสร้างแพลตฟอร์ม National Student e-Wallet ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตก็เป็นได้


    โดยจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 257 คน จาก 8 มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, มหาวิทยาลัยรังสิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม GEN Z พบว่า 35% ของคนกลุ่มนี้มีการใช้จ่ายผ่าน e-Wallet ทุกวัน โดยบริการที่ใช้มากที่สุดคือ อันดับ 1 โอนเงินระหว่างบุคคล 81% อันดับ 2 ชอปปิงออนไลน์ 61% อันดับ 3 เติมโทร เติมเน็ต 37% อันดับ 4 สแกนจ่ายผ่าน QR Code ในโรงอาหาร 14%

    ซึ่งการโอนเงินระหว่างบุคคลของ GEN Z สำรวจพบว่า เป็นการโอนเงินให้เพื่อนมากที่สุด เพื่อคืนหรือแชร์ค่าอาหาร ค่าแท็กซี่ ฝากซื้อของ ค่ากิจกรรมหรือค่ารับน้อง รวมถึงให้เพื่อนยืมเงินหรือคืนเงินเพื่อน และฝากเติมเกม

    ขณะเดียวกันการสำรวจยังเปิดเผยเหตุผลที่ GEN Z เลือกใช้ e-Wallet คือ อันดับ 1 สะดวกสบาย อันดับ 2 มีคนแนะนำ อันดับ 3 บริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการ

    อย่างไรก็ตาม ทรูมันนี่ ระบุว่า กลุ่มคน GEN Z ถือเป็นกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น นำเทรนด์ และกำลังถูกจับตามองจากแบรนด์ต่างๆ ในอนาคต หากภาครัฐ ภาคเอกชน ในระบบการศึกษาสามารถทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เราอาจจะมีแพลตฟอร์ม e-Wallet ที่เข้าใจทุกโจทย์การใช้จ่ายในด้านการศึกษาทุกระดับก็เป็นได้ มีความเป็น Inclusivity ไปสู่การเป็น National Student e-Wallet แก่เด็กและเยาวชนไทย ใช้ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนจนสำเร็จการศึกษา

    โดยผูกและเชื่อมโยงทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษาไว้ ตั้งแต่กองทุน เงินทุนกู้ยืม ค่าเล่าเรียน และจิปาถะอื่นๆ ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างพฤติกรรมการจับจ่ายที่ล้ำสมัย และมีความปลอดภัยไปอีกขั้น ไม่ต้องแยกกันพัฒนา และผลักดันเหมือนในขณะนี้ แต่เป็นการร่วมมือกันพัฒนาในทุกภาคส่วน เพราะสิ่งเหล่านี้อาจนำกลับมาซึ่งประโยชน์แก่ทุกคนในอนาคตได้