สำหรับปี 2562 นี้ เป็นปีที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ในไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นไปอีกระดับ หลังค่ายรถที่มีการผลิตรถยนต์ในประเทศ ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนประกอบรถยนต์ไฟฟ้าจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นที่เรียบร้อยก่อนครบกำหนดไปเมื่อสิ้นปี 2561
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศของไทยน่าจะมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นไปอยู่ระดับ 1 ใน 4 ของยอดขายรถยนต์รวมต่อปีทั้งประเทศ หรือคิดเป็นประมาณ 240,000 คัน โดยมีโครงการรถยนต์อีโค-ไฮบริด และไมลด์ไฮบริด ที่น่าจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะแรก และในปี 2566 ซึ่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้าใกล้จุดที่เต็มอัตราการผลิตนั้น จำนวนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องผลิตออกมาเพื่อรองรับตลาดในประเทศนี้คาดว่าจะมีปริมาณอย่างน้อย 260,000 ลูก
ไม่เพียงเท่านี้ การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับตลาดส่งออกเองก็มีโอกาสเติบโต เมื่อค่ายรถหลายค่ายต่างเข้ามาลงทุนในไทยโดยมีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปริมาณที่สูงมาก เพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศ และจากฐานการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโลกที่ยังมีอยู่จำกัด ทำให้ไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตใหม่มีโอกาสส่งออกแบตเตอรี่ OEM และ REM ไปยังตลาดอื่นๆด้วย เช่น ญี่ปุ่น และประเทศที่ไทยส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปอย่างอาเซียน และโอเชียเนีย ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับส่งออก ปี 2566 จะมีปริมาณไม่น้อยกว่า 170,000 ลูก
แม้ปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่จากทิศทางการให้ความสำคัญกับประเทศไทยโดยค่ายรถหลายค่ายต่างมีแผนเข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในไทย ทำให้โอกาสในระยะยาวสำหรับธุรกิจผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังเปิดอยู่มาก ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ณ ปี 2566 ไทยน่าจะมีการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 430,000 ลูก คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 3 ของตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโลก ส่งผลให้ไทยกลายมาเป็นผู้นำฐานการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และโอเชียเนีย รวมถึงเป็นฐานการผลิตใหญ่อันดับ 4 ของภูมิภาคเอเชียได้ในอนาคต รองจาก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย