เหลือบไปเห็นข่าวเล็กๆ ที่ลงคำประกาศของคุณวิชัย ทองแตง เจ้าของธุรกิจเครือโรงพยาบาลพญาไท เปาโล และยังมีสายสัมพันธ์กับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ สมิติเวช และบีเอ็นเอช มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่สูญเสียภรรยาสุดที่รัก คุณนงลักษณ์ ทองแตง ไป
คุณวิชัยได้ลงคำประกาศ ที่เป็นคำสั่งเสียของภรรยาสุดที่รักที่จากไปอย่างสงบ ที่เป็นตัวอย่างของความเรียบง่ายและสมถะเอาไว้อย่างน่าชื่นชมว่า ภรรยาได้สั่งข้อความก่อนวายชนม์ไว้ไม่ให้จัดงานพิธีรดน้ำศพ ให้จัดงานศพอย่างเรียบง่าย โดยให้จัดพิธีสวดอภิธรรมเพียง 3 วันไม่ออกการ์ด หนังสือเชิญ หรือรบกวนแขกเหรื่อ ตลอดจนญาติมิตรให้เข้ามาร่วมงานในพิธี เมื่อพิธีทางศาสนาเสร็จสิ้นแล้วขอให้ฌาปนกิจเลย งดรับพวงหรีด หรือเครื่องเซ่นไหว้สักการะใดๆ งดรับเงินช่วยงานศพ เงินสนับสนุนการจัดพิธีกรรม ขอให้ครอบครัวเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมทั้ง 3 วัน ไม่มีเจ้าภาพร่วม ไม่มีวิธีการเก็บบรรจุอัฐิหรือลอยอังคาร โดยขอให้นำเถ้าธุลีกลับคืนสู่แผ่นดินเพื่อเป็นปุ๋ยแก่พฤกษชาติต่อไป
โดยคุณวิชัยมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาเจตจำนงสุดท้ายของภรรยาดังที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อการเดินทางสู่สัมปรายภพของภรรยาจะได้เป็นสุขสงบชั่วนิจนิรันดร์
อ่านแล้วก็ให้รู้สึกชื่นชม ในความเรียบง่าย สมถะ ของคุณนงลักษณ์ ทองแตงจริงๆ ครับ เป็นตัวอย่างที่หาได้ยากในเมืองไทย ก็ขอถือโอกาสนี้ ร่วมส่งดวงวิญญาณของท่านขอได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีดังที่ท่านปรารถนาไว้
เห็นความเรียบง่าย สมถะ ของคุณนงลักษณ์ ที่น่าจะถือได้ว่าเป็นปูชนียบุคคล และตัวอย่างแห่งการทำความดี รักษาความดีให้ลูกหลานๆ ได้จดจำแล้ว ก็นึกไปถึงอาจาริยวาทในเรื่องของ “วานนา บารมี” ที่พระพรหมมงคลญาณ วิ. (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดธรรม มงคล และประธานมูลนิธิสถาบันพลัง จิตตานุภาพ ผู้ที่ปรารถนาจะให้ทุกคนได้ทำสมาธิสะสมพลังจิต เพื่อความสันติสุขของ โลก ธิดาเทศนาเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2550 แล้วว่า
คนเราที่เกิดมานี้พระพุทธเจ้า การตัดว่ากรรมเป็นผู้ที่จำแนกให้พวกเราเกิดมา บางคนร่ำรวย บางคนยากจนบางคนสวย บางคนก็ขี้เหร่ขี้ร้าย สิ่งเหล่านี้มันเกิดมาจากบุญกรรม แต่สิ่งที่จะกล่าวในวันนี้ จะกล่าวถึงเรื่องบุญว่าพวกเรานี้มาสร้างแต่บุญกันเถอะ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหนยังคงติดตัวตนเราไปโดยตลอด
คนเรานี้แข่งขันอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งขันวาสนาบารมีนั้นแข่งกันไม่ได้เพราะว่าในแต่ละชาติที่เราเกิดมานั้น มีหลายภพหลายชาติ ในแต่ละชาติเราอาจจะทำสมาธิไว้ไม่เหมือนกัน อาจจะสร้างบุญกุศลไว้ในแต่ละชาติแตกต่างกัน บางทีอาจจะไปทำบาปทำอกุศลไว้
เพราะฉะนั้นการเกิดมาในแต่ละชาติก็ต้องมาเสวยบุญเสวยบาปเสวยกรรมที่ทำไว้ในแต่อดีตชาติ เพื่อที่จะได้รู้สึกว่าความทุกข์ ความสุขเป็นอย่างไรเพราะว่าคนเรานั้นมีทั้งบุญทั้งบาปอยู่ในตัวของเรา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเกิดมาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำสมบัติให้กับตัวเอง เราพากันขวนขวายหาเงินหาทอง หาข้าวหาของเป็นสมบัติประจำโลก เราก็มาคิดว่า ในอนาคตเบื้องหน้าในชาติหน้าต่อไปเราจะทำอะไร ถ้าหากว่าเราหวังแต่ทรัพย์สินสมบัติไว้เป็นของเราไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักหาสมบัติให้แก่ตัวเราที่แท้จริง ตายไปแล้วก็ไม่สามารถจะเอาอะไรไปได้ เอาไปได้แต่คุณธรรมหรือบุญกุศล และบาปเท่านั้นที่จะติดตามตัวเราไป
เพราะฉะนั้นเรามีทรัพย์สมบัติ มีร่างกายจิตใจ ก็ใช้ร่างกายของเรานี้ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง พระพุทธ-เจ้าจึงตรัสว่า รักอะไรไม่ดีเท่ากับรักตัวเราเอง ก็หมายถึงว่า เมื่อเรารักใจของเราแล้ว ก็ต้องสร้างกุศลให้แก่ใจเพื่อที่บุญกุศลนี้จะตามตัวเราไป การที่เราได้ให้ทาน ลงทุนรักษาศีล ก็ลงทุนในร่างกายเราเอง การภาวนาก็คือการลงทุนในร่างกายและจิตใจเราเอง ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินสมบัติอะไร
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ปุญญานิ ปะระโลกัสมิง ปะติฏฐโหนติ ปาณินัง” เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ทั้งโลกนี้และโลกหน้าแต่บุญที่ทำนี้ศีลที่รักษานี้ ก็เป็นปัจจัยไปถึงซึ่งพระนิพพานได้