มีคำถามว่าสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ มีญาณแบบมนุษย์เราหรือไม่คำตอบนั้นสรรพสิ่งต่างๆ ที่มีชีวิตไม่ว่าจะช้าง ม้า วัว ควาย หรือต้นหมากรากไม้ เป็นสิ่งมีชีวิต ต่างก็มีญาณหรือสัญชาตญาณด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งหากเป็นต้นไม้ใหญ่ด้วยแล้วที่เราเข้าใจว่ามีรุกขเทวาปกปักษ์รักษาอะไรกันอยู่นั่นล่ะ
การโค่นต้นไม้ใหญ่เพื่อเอาไปทำฟืน ทำเฟอร์นิเจอร์ เอาไปใช้ประโยชน์หรือแม้แต่ที่เราขุด ตัด เอาหน่อไม้จากต้นไผ่ไปกิน ต้นไม้ต่างก็มีสัญชาตญาณที่สื่อถึงกัน เพียงแต่มันไม่สามารถจะปกป้อง หรือปกปักษ์รักษาชีวิตตนเองได้ ไม่เหมือนกับมนุษย์เรา
แม้แต่ต้นมัยลาภที่เกิดอยู่บนพื้นทราย ก็มีญาณมีสัญชาตญาณ เวลาที่ภัยอันตรายมาถึงตัว ต้นมัยลาภจะหุบใบโดยอัตโนมัติและหุบพร้อมกันหมด เพราะทุกต้นนั้นเหมือนมี “ตัวเตือน” มีสัญชาตญาณคอยเตือนตัวเองว่ากำลังมีภัยอันรายมาถึงตน
เป็ด ไก่ วัว ควายที่มนุษย์เลี้ยงไว้ก็เช่นกัน หากเราสังเกตเวลาถูกพาไปโรงเชือด เราจะเห็นวัว ควายเหล่านั้นน้ำตาไหลพราก ใบหน้าเศร้าหมอง ลูกร้องหาแม่ แม่ร้องหาลูก หรือร้องบอกกันเองเป็นการสั่งเสีย เหมือนกับรู้ชะตากรรมว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ที่กำลังเตือนว่าถึงเวลาของตัวเองแล้ว
พูดถึงชีวิตแล้ว ก็ให้นึกไปถึง ธรรมชาติของชีวิตสัตว์โลกทั้งหลายที่เราคงจะผ่านหูผ่านตากันมามากเพราะมีการแชร์ข้อมูลกันอยู่บ่อยครั้ง ว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นคนนั้นประเสริฐยิ่งแค่ไหน เพราะหากเป็นเกิดเป็นสิงสาราสัตว์ต่างๆ นั้นชีวิตมันช่างสั้นนัก แต่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหรือกี่หมื่นปี เพราะธรรมชาตินั้นอนุญาตให้บรรดาสัตว์โลกทั้งหลายมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ นับเป็นวันได้โดยเฉลี่ยดังนี้
แมลงเม่ามีชีวิตหลังโผล่พ้นดินออกมาบินได้เพียง 1 วัน, มด 21 วัน, ปลากะตัก 21 วัน, แมงปอ 120 วัน, ปลาหางนกยูง 120 วัน , กระต่าย 5 ปี หรือ 1,825 วัน, สุนัข 15 ปี หรือ 5,475 วัน, ม้า 30 ปี หรือ 10,950 วัน ส่วนมนุษย์เรามีชีวิตอยู่ได้เฉลี่ย 70 ปี หรือ 25,550 วัน, ช้าง 100 ปี หรือ 36,500 วัน, เต่า 200 ปี หรือ 73,000 วัน
ทุกชีวิตมีเวลาที่ธรรมชาติอนุญาตให้อยู่ได้ตามวงจรชีวิตของแต่ละสายพันธุ์ ถ้านับเป็นวันแล้วน้อยมากจริงๆ ยิ่งมนุษย์แล้วถ้าอายุครบ 60 ปี ก็เท่ากับเวลาผ่านไปแล้ว 22,000 วัน เวลาก็ยิ่งเหลือน้อยนิดลงไปอีก เหลือเพียงไม่กี่วันเอง บวกลบได้ไม่มากมาย ถึงจะมั่นใจว่าตัวเองยังสุขภาพดีอยู่ก็ตาม
ดังนั้น การใช้เวลาที่เหลือ ในการดำรงชีวิตอย่าได้หลงระเริงโดยเด็ดขาด จะต้องยึดหลักปฏิบัติของพระพุทธองค์เป็นหลัก ให้หมั่นสร้างบุญ สร้างกุศล ทำความดี เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม จัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เรียบร้อย โดยเฉพาะสำหรับลูกหลานและคนที่ยังอยู่ข้างหลัง และต้องลดละเลิก การสะสม ลดโมหะ โทสะ โลภะ ทั้งปวง เตรียมตัวนับถอยหลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต และพร้อมที่จะจากโลกนี้ไปได้ในทุกเวลาอย่างมีความสุข เพราะเข้าใจในสิ่งธรรมชาติกำหนดไว้แล้ว จงจำไว้ว่า “ธรรมะ คือธรรมชาติ”
พระพรหมมงคลญาณ วิ. (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ถึงได้พร่ำสอนอยู่เสมอในเรื่องที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าประเสริฐยิ่งแล้ว เราเกิดมาใช้ชีวิตในชาตินี้ ที่จริงแล้วเราได้เกิดมาแล้วไม่รู้กี่ชาติภพกว่าจะมาถึงชาตินี้ เขาให้เรามาเกิด 40-50 หรือ 100 ปีอะไรก็ตามที่เรามีชีวิตอยู่นี้เขาให้เรามาทำความดี แต่ว่าคนที่ขาดสติหรือคิดไม่รอบคอบก็พากันทำชั่วด้วยประการต่างๆ
ชีวิตที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดก็คือชีวิตที่ได้ทำความดี ชีวิตที่ไร้ค่าก็คือทำความชั่ว มีแต่คนที่ไร้สติหรือคนที่มีความคิดว่านรก สวรรค์ไม่มี เราจะทำอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ อย่างนี้เรียกว่าการใช้ชีวิตที่ไร้ค่าไม่มีค่า ชีวิตนี้มันเป็นของไม่ง่ายนักที่เราจะได้มา กว่าจะได้ชีวิตมาถึงวันนี้นั้น ก็ต้องผ่านสิ่งต่างๆมามากมาย เพราะฉะนั้นค่าของชีวิตนี้มันมากกว่าเงินทองข้าวของต่างๆ”
“ค่าของเงินทองข้าวของต่างๆ นั้น ใช้ได้ก็แค่ชั่วชีวิต พอตายไปแล้วทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ใช้ไม่ได้ มีคนอื่นเอาไปใช้แทน ดังนั้น เราจะต้องเข้าใจว่าอะไรเป็นทรัพย์สมบัติที่แท้จริง ทรัพย์สมบัติที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ศรัทธาของเรา ที่จะมีความรู้ ความเข้าใจต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และทำชีวิตให้มีค่า เพราะไม่มีใครที่จะให้นอกจากเราจะทำเอง ….
…เราไม่มีอะไรนอกจากจะใช้ความสามารถที่มีอยู่ ก็ควรจะเร่งสร้างความดีต่อไป คนที่ไม่เชื่อว่านรก สวรรค์มีจริงนั้นเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ คนที่มีความเห็นผิดเป็นชอบเป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนคนที่เชื่อว่านรก สวรรค์มีจริงเขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ จะเป็นผู้มีความเห็นชอบถูกต้อง เมื่อทำความชั่วไป ไม่ใช่ว่าทำแล้วก็แล้วกัน แต่ทำแล้วก็ติดตามตัวไปทุกๆ ชาติ เหมือนกับการทำความดีก็จะติดตามตัวเราไปทุกภพ ทุกชาติเช่นกัน”