ส่องเทรนด์การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) ใน 3 องค์กรไทย โดย JobThai หลังพบว่าเทรนด์นี้ กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติของการทำงานยุคนิวนอร์มัล และเป็นสิ่งดึงดูดคนรุ่นใหม่ ให้เข้ามาทำงานกับองค์กรมากขึ้น
Work from Anywhere แบบ THiNKNET
THiNKNET บริษัทไอทีด้านการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นประโยชน์กับสังคมไทย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้มีการปรับให้พนักงานทำงานที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) โดยปรับรูปแบบการทำงาน (Workflow) ให้พร้อมกับวิธีการทำงานแบบใหม่ อาทิ
– พัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ในการบริหารจัดการพนักงาน สำหรับการทำงานจากระยะไกล (Remote Working)
– ปรับเวลาการทำงาน เป็นการเก็บชั่วโมงทำงานให้ครบ 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
– จัดสรรเครื่องมือทำงาน อาทิ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงาน โปรแกรมสำหรับการสื่อสาร ฯลฯ แก่พนักงานในองค์กร
– ปรับพื้นที่การทำงานในออฟฟิศ เพื่อรองรับยุคนิวนอร์มัล
Work from Anywhere แบบ Builk
Builk บริษัทเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่มีนโยบายให้พนักงานทำงานที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) หลังการทดลองให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)
พบว่าองค์กร และพนักงานต่างได้ประโยชน์จากการทำงานแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายเรื่องสถานที่ ค่าเดินทาง และยังสามารถจัดสรรเวลาของตัวเองได้มากขึ้น โดยมีการจัดการอย่างเช่น
– ผู้บริหารมีการสื่อสารกับพนักงานมากขึ้น เพื่อให้มองเป้าหมายเดียวกันชัดเจน
– จัดหาพื้นที่ Co-working Office กระจายในย่านต่าง ๆ เพื่อให้พนักงานที่พักอยู่ในย่านนั้น ไปทำงานร่วมกันได้ และจะต่อยอดโมเดลนี้ไปใช้ในต่างจังหวัดด้วย
– เตรียมความพร้อมในเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล ในการบริหารจัดการงานด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ซอฟต์แวร์สำหรับจัดการอนุมัติเอกสาร การจองสถานที่ที่ออฟฟิศ รวมถึงงานด้านบัญชี เป็นต้น
Work from Anywhere แบบ SCB
หลัง SCB หรือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้มีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้าน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แล้วพบว่าพนักงานสามารถทำงานได้โดยมีประสิทธิภาพในการทำงาน (Productivity) มากขึ้น SCB จึงได้นำคอนเซปต์การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) มาปรับใช้เพื่อตอบโจทย์วิถีการทำงานในยุคนิวนอร์มัล ตัวอย่างเช่น
– เปิดให้แต่ละแผนก สามารถวางแผนงานและบริหารจัดการวิธีการทำงานของตัวเองได้ โดยยึดถือวัฒนธรรมการทำงานเดียวกัน
– ใช้เทคโนโลยีในการทำงานร่วมกัน (Collaboration) และพร้อมที่จะปรับตัวตามสถานการณ์อยู่เสมอ
– ร่วมมือกับโรงพยาบาล เพื่อดูแลเรื่องสุขภาพให้กับพนักงานแบบออนไลน์
โควิด-19 ปัจจัยเร่งที่ทำให้ Work from Anywhere กำลังมาแรง
โดยปัจจุบันทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ยังคงเจอกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้โลกของการทำงาน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การทำงานจึงต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ ต้องมีการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working) ด้วยการทำงานระยะไกล (Remote Working) ทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) ผสมกับการทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น
ด้านการจ้างงานเอง ความยืดหยุ่นตรงนี้ ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถสรรหาคนเก่ง ได้จากทั่วประเทศ หรือจากที่ไหนก็ได้ ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ก็จะต้องมีการปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่กระบวนการสรรหา (Recruitment) การดูแลพนักงานใหม่ (Onboarding) เพื่อให้พนักงานปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบใหม่
รวมทั้งวิธีการที่จะรักษาความสัมพันธ์ของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น แม้ต้องเจอหน้ากันน้อยลง เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการรักษาวัฒนธรรมองค์กรไว้ด้วย
ส่วนคนทำงานก็ต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์อยู่เสมอ และพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Resilience & Adaptability) และต้องไม่หยุดเรียนรู้พัฒนาทักษะที่จำเป็น สำหรับการทำงานในอนาคตอยู่เสมอนั่นเอง