Adobe เผยผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อ “เวลาทำงาน และชีวิตส่วนตัว” ในโลกของการทำงานแบบไฮบริด ในรอบปีที่ผ่านมา
สำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง 5,500 คน
ด้วยการสำรวจพนักงานบริษัท และผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ใน 7 ภูมิภาคทั่วโลก โดยมีการสอบถามเกี่ยวกับเวลาที่รู้สึกกดดันมากที่สุด และส่งผลกระทบกับชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัวอย่างไร ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ในรอบปีที่ผ่านมา พบความน่าสนใจดังนี้
การทำงานจากที่บ้านส่งผลให้ “เวลาส่วนตัวกลายเป็นเวลาทำงาน”
เริ่มจากการทำงานที่บ้าน พบว่าคนจำนวนมากใช้เวลาว่างที่เพิ่มขึ้น จากการไม่ต้องเดินทางไป-กลับที่ทำงาน เป็นชั่วโมงทำงานที่เพิ่มขึ้น เกิดเป็นชั่วโมงทำงานมากกว่าปกติ โดยพบว่า
– พนักงานบริษัท 49% ทำงานโดยเฉลี่ย 44.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
– ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 56% ทำงานโดยเฉลี่ย 45.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
Gen Z แรงขับเคลื่อนหลักของกระแส “การลาออกครั้งใหญ่”
จากผลการศึกษาของ Adobe ครั้งนี้ ยังพบว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีพนักงานลาออกเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนเมษายน 2564 เพียงเดือนเดียว พบว่าพนักงานในสหรัฐอเมริกา กว่า 4 ล้านคน ลาออกจากงาน ตามข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นที่แน่ชัดว่าเทรนด์นี้จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเช่น พนักงานบริษัท 35% ระบุว่าตนเองมีแผนเปลี่ยนงานในปีหน้า และ 61% ของคนกลุ่มนี้ ระบุถึงเหตุผลว่าเป็นเพราะ “ต้องการที่จะออกแบบตารางเวลาชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระมากขึ้น”
ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นสำหรับคนเพิ่งเริ่มทำงาน โดยถึงแม้ว่าคน Gen Z จะเพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่กว่าครึ่งหนึ่งมีแผนที่จะหางานใหม่ในปีหน้า
นอกจากนั้น คนกลุ่มนี้ยังระบุว่าพวกเขามีความพึงพอใจน้อยที่สุดกับ Work-Life Balance (56%) รวมถึงอาชีพการทำงานโดยรวม (59%) และคนกลุ่มนี้รู้สึกกดดันมากที่สุดที่จะต้องทำงานใน “ช่วงเวลาทำงานตามปกติ” (62%)
และหนึ่งในสี่ระบุว่าตนเองทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเวลาอื่นที่ไม่ใช่เวลาทำงาน 09:00-17:00 น. ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของคนรุ่น Gen Z ระบุว่าตนเองมักจะทำงานบนเตียงนอนเป็นประจำ
พนักงานต้องการ “เทคโนโลยี” ที่จะช่วยเสริมศักยภาพการทำงานให้ดีขึ้น
แม้ว่าแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังเทรนด์เหล่านี้ จะมีลักษณะซับซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากผลการสำรวจก็คือ พนักงานมีความคาดหวังที่สูงขึ้น เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับงานง่าย ๆ อย่างเช่น การจัดการไฟล์ แบบฟอร์ม สัญญา การชำระเงิน และใบแจ้งหนี้ ซึ่งพนักงานต้องใช้เวลาราวหนึ่งในสามของชั่วโมงทำงาน ไปกับงานธุรการที่ต้องทำซ้ำ ๆ
และ 86% ของพนักงานบริษัท กับ 83% ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ระบุว่างานปลีกย่อยเหล่านี้ เป็นอุปสรรคที่บั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งในอนาคต ที่พนักงานจะต้องทำงานร่วมกันกับคนที่อยู่ในออฟฟิศ และคนที่ทำงานจากบ้าน
ทำให้การปรับใช้เครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย รวมไปถึงเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษา และดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ให้ทำงานกับองค์กรไปนาน ๆ
ผลการศึกษาของ Adobe ชี้ว่า พนักงานบริษัทราวครึ่งหนึ่ง พร้อมที่จะเปลี่ยนงาน ถ้าหากว่าที่ทำงานใหม่มีเครื่องมือที่ดีกว่า ซึ่งจะช่วยให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แล้วถ้าหากพนักงานมีเวลาว่างมากขึ้นเพราะได้ตัวช่วยเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เขาจะใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่ไปกับเรื่องใด ?
ปรากฏว่าผู้ตอบแบบสอบถามราวครึ่งหนึ่ง มีแผนที่จะใช้เวลาไปกับเรื่องอื่น ๆ ที่ตนเองสนใจ รวมถึงการพัฒนาทักษะ และความสามารถเพื่อการเติบโตในอนาคต