ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร ปลื้มศักยภาพ “วิศวกร – มหาวิทยาลัยไทย” ผลิต “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” หนุนแพทย์และพยาบาล ต้านโรคอุบัติใหม่โควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น ‘หุ่นยนต์ขนส่งเวชภัณฑ์‘ ลดเสี่ยงติดเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์ ‘ห้องแยกโรคความดันลบ‘ ห้องปรับความดันอากาศภายในห้องต่ำกว่าภายนอกห้อง พร้อมป้องกันเชื้อโรคปนเปื้อนไหลออกสู่ภายนอกห้อง ‘หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวี’ หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อประสิทธิภาพสูง ทำลายดีเอ็นเอของไวรัส และหยุดยั้งประสิทธิภาพในการแพร่พันธุ์ ‘ต้นแบบเครื่องช่วยหายใจ’ นวัตกรรมที่ช่วยควบคุมการบีบของเครื่องช่วยหายใจให้เป็นจังหวะเหมือนกับจังหวะการหายใจของผู้ป่วยฯลฯ
สภาวิศวกร ชื่นชมวิศวกรไทย ในวิกฤตโควิด-19
ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ โควิด-19 (COVID-19) ได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกแล้วกว่า 2.5 แสนราย และมีผู้ติดเชื้อสูง 3.6 ล้านราย ขณะที่ผู้ติดเชื้อในไทยพบ 2,987 ราย (ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2563) แต่ทั้งนี้ ท่ามกลางความสูญเสียดังกล่าว ได้สร้างวีรบุรุษในชุดต่าง ๆ หลากรูปแบบ โดยเฉพาะ “ชุดกาวน์” หรือ “บุคลากรทางการแพทย์” ผู้เสียสละทำหน้าที่หลักในการตรวจรักษา และมีความใกล้ชิดโดยตรงกับผู้ป่วย อีกทั้งวีรบุรุษเสื้อช็อป อย่าง “วิศวกรไทย” และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ผู้อยู่เบื้องหลังการควบรวมศาสตร์ “วิศวกรรม” สู่การผลิต “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” หนุนหลังบุคลากรทางการแพทย์เพื่อให้การตรวจรักษาเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและราบรื่น
โดยที่ผ่านมา พลังของ “วิศวกร” และ “มหาวิทยาลัยไทย” ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการรักษาทางการแพทย์และผ่านกระบวนการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้วจำนวนมาก
นวัตกรรมจากวิศวกรไทย
- ผลิตนวัตกรรมเซฟบุคลากรทางการแพทย์ด้วยวิศวกรไฟฟ้า
การแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว เกิดขึ้นได้ในระยะใกล้ จึงเป็นผลให้บุคลากรทางการแพทย์เสี่ยงรับเชื้อสูง วิศวกรไฟฟ้า ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเชื่อมต่อ ออกแบบ และผลิตระบบไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ จึงได้ทำงานร่วมกับ วิศวกรเครื่องกล ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักร พัฒนานวัตกรรมที่เข้ามาทำหน้าที่หรือลดการทำงานบางขั้นตอน เพื่อลดโอกาสการได้รับเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ ‘หุ่นยนต์ขนส่งเวชภัณฑ์‘ หุ่นยนต์เสิร์ฟยาและอาหารถึงมือผู้ป่วย โดยที่บุคลากรทางการแพทย์สามารถควบคุมได้จากห้องทำงาน โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) นอกจากนี้ วิศวกรรมไฟฟ้า ยังมีบทบาทสำคัญในการติดตั้งระบบสื่อสาร/อินเตอร์เน็ต ภายในโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้แพทย์–ผู้ป่วยสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยล่าสุดบุคลากรทางวิศวกรรมฯ มธ. ได้ติดตั้งระบบดังกล่าว ณ รพ.สนาม มธ. เรียบร้อยแล้ว
- สร้างห้องกรองเชื้อโรคด้วยวิศวกรรมเครื่องกล
เพราะ COVID-19 จะแพร่กระจายเชื้อได้ดีในอากาศ อีกทั้งยังสามารถอยู่ในอากาศได้นานถึง 20 นาที วิศวกรรมเครื่องกล ผู้ปราดเปรื่องเรื่องงานออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักร การถ่ายเทพลังงานความร้อน ฯลฯ จึงได้ไอเดียในการสร้างพื้นที่ปิดหรือห้องเฉพาะ ที่ทำหน้าที่คัดกรองฝุ่นและเชื้อโรค เพื่อช่วยในการควบคุมปริมาณการกระจายของโรค อาทิ ‘ห้องแยกโรคความดันลบ‘ จาก สจล. ห้องปรับความดันอากาศภายในห้องต่ำกว่าภายนอกห้อง เพื่อไม่ให้อากาศภายในห้องที่อาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนไหลออกสู่ภายนอกห้อง ‘หุ่นยนต์ผู้ช่วยพยาบาล’ (CMU Aiyara) ลดความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงาน COVID-19 จากศูนย์นวัตกรรมสุขภาพคณะแพทยศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- พัฒนาสิ่งประดิษฐ์ฆ่าเชื้อโรคให้ตายสนิทด้วยวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
COVID-19 ถือเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้น การมีนวัตกรรมหรือระบบคอมพิวเตอร์ ที่เข้ามาช่วยตรวจจับพร้อมฆ่าเชื้อในพื้นที่เฉพาะ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ณ ขณะนี้ ซึ่งวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ อีกหนึ่งสายงานที่มีบทบาทและสามารถพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวได้ ผ่านการ Coding ชุดคำสั่ง ทั้งการทำงานของคลื่นความถี่ การตรวจจับสิ่งมีชีวิตขอนาดเล็กอย่าง ไวรัส แบคทีเรีย โดยเซนเซอร์ อาทิ ‘หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวี’ จาก สจล. ‘หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยแสงยูวี’ (Germ Saber Robot) จากศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. ที่ร่วมมือกับ จุฬาฯ หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ ประสิทธิภาพสูง สำหรับฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เฉพาะ รวมถึงเชื้อบนอุปกรณ์เฉพาะของแพทย์ และ ‘ตู้ฆ่าเชื้อโคโรนา 2019 ด้วยแสงยูวี’ สำหรับใช้ในครัวเรือนโดยทีมนักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมหุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีฯลฯ
- ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ป้อน รพ. ด้วยวิศวกรรมชีวการแพทย์
ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่อัตราเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับความพร้อมด้านเครื่องมือทางการแพทย์ของโรงพยาบาลหลายแห่ง วิศวกรรมชีวการแพทย์ จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการควบรวม องค์ความรู้ “วิศวกรรมศาสตร์” และ “แพทยศาสตร์” สู่การพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์ในภาวะขาดแคลนหรือฉุกเฉิน อาทิ ‘ต้นแบบเครื่องช่วยหายใจ’ (Mini Emergency Ventilator) จาก สจล. นวัตกรรมที่ช่วยควบคุมการบีบของเครื่องช่วยหายใจ ให้เป็นจังหวะเหมือนกับจังหวะการหายใจของผู้ป่วย พร้อมทั้งสร้างความดันบวกให้กับปอดของผู้ป่วย (อยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพ และเตรียมผลิตจริงเพื่อส่งมอบโรงพยาบาลใช้งานในภาวะฉุกเฉิน) ‘ตู้โควิเคลียร์’ หรือ ตู้พ่นซิลเวอร์นาโนฆ่าเชื้อ ลดความเสี่ยงไวรัสโควิด-19 ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่มาสัมผัสกับผิวหนังหรือเสื้อผ้า มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อได้นาน 24 ชม. ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล และ ภาคเอกชนอย่าง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ฯลฯ
- ก่อร่างสร้าง รพ.ฉุกเฉินด้วยหลักการวิศวกรรมโยธา
เพราะการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นวงกว้าง จึงเป็นเหตุให้บางประเทศต้องเตรียมแผนตั้งรับใหม่ทันทีอย่าง “ประเทศจีน” ที่ได้จัดสร้าง โรงพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณผู้ป่วยได้ถึง 1,000 เตียงในเวลา 10 วัน ทั้งนี้ หากมองในแง่ของโครงสร้างจะพบว่า เป็นความชำนาญการในสายงานวิศวกรรมโยธา ที่สามารถประเมินศักยภาพของพื้นที่ ที่สามารถรองรับโครงสร้างดังกล่าวได้ การเลือกใช้วัสดุ รวมถึงบริหารแนวทางก่อสร้างให้กระทบผู้คนโดยรอบน้อยที่สุด นอกจากนี้ ทีมคณาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา และวิศวกรรม เคมี จุฬาฯ ยังได้ร่วมคิดค้น “การทดสอบมาตรฐานชุด PPE เพื่อการใช้งานสำหรับแพทย์ในห้อง ICU COVID” เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้งานชุด PPE ได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ในปัจจุบัน มีวิศวกรศักยภาพสูง ที่ขึ้นทะเบียนกับสภาวิศวกร มากกว่า 300,000 คน แต่อาชีพดังกล่าว ยังเป็นอาชีพที่มีความต้องการสูง มีงานที่พร้อมรองรับ และมีความสำคัญต่อประเทศไทย จากปัจจัยด้านความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ แผ่นดินไหว อาคารถล่ม อุทกภัย ภัยแล้ง และสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 รวมถึงความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมในยุคดิสรัปชันในอนาคต
นอกเหนือจาก “วิศวกร” ที่เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อช่วยเหลือ และสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์ดังกล่าว คนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ทุกสายอาชีพ ทั้งผู้ประกอบการธุรกิจ แมสเซนเจอร์รับ–ส่งเอกสารหรืออาหาร พยาบาล แม่บ้าน พ่อบ้าน ผู้ทำความสะอาด ฯลฯ ก็มีส่วนร่วมในการช่วยทีมแพทย์ลดตัวเลขผู้ติดเชื้อลงได้ ด้วยการมีจิตสาธารณะในการป้องกันการแพร่กระจายของ COVID-19 อาทิ การหมั่นล้างมือให้สะอาด หรือเลือกใช้เจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังหยิบจับสิ่งของ สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ปิดปากเมื่อไอ/จาม หลีกเลี่ยงการเดินทางในที่ชุมชน เลือกทานอาหารและออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันอยู่เสมอ และอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเว้นระยะปลอดภัยทางสังคม Social distancing ที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อร่วม #หยุดเชื้อเพื่อชาติ ขานรับนโยบายรัฐบาล และให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน